คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3667/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองร่วมกันนำ ธ. มาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โจทก์ร่วม โดยแจ้งแก่โจทก์ร่วมว่า ธ. คือ บ. บิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงรับ บ. เป็นสมาชิก ความจริงแล้วขณะนั้น บ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ การหลอกลวงมีผลเพียงให้โจทก์ร่วมรับ บ. เข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาได้ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ร่วมไม่ แม้ต่อมาโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้จำเลยที่ 1 ไปจำนวน 92,000 บาท แต่ก็เนื่องจาก บ. ถึงแก่กรรมหาใช่เนื่องจากจำเลยทั้งสองหลอกลวงไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง พนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ย่อมตกไปด้วย ศาลไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 92,000 บาท แก่โจทก์ร่วมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 92,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2124/2538 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมกตัญญูผู้มีพระคุณ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 4 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 จำคุกคนละ 1 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 92,000 บาท แก่โจทก์ร่วม ส่วนคำขอที่ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอื่นนั้นโจทก์ไม่นำสืบว่าผลคดีเป็นอย่างไรจึงยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ร่วมจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือและสงเคราะห์ครอบครัวและทายาทของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายด้วยเงินสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 จำเลยที่ 1 นำชายคนหนึ่งมาสมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ร่วม แจ้งแก่โจทก์ร่วมว่าคือนายบุญจันทร์ โชติรื่น บิดาจำเลยที่ 1 ระบุให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินสงเคราะห์โจทก์ร่วมรับนายบุญจันทร์เป็นสมาชิก นายบุญจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 มีนาคม2538 ต่อมาวันที่ 27 เดือนเดียวกัน จำเลยที่ 1 มารับเงินสงเคราะห์จากโจทก์ร่วมไปจำนวน 92,000 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาได้ความเพียงว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันนำนายธง พิมพ์นิวาส มาสมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ร่วม โดยแจ้งแก่นายที ภูยาดาว กรรมการของโจทก์ร่วมว่านายธงคือนายบุญจันทร์ โชติรื่น บิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงรับนายบุญจันทร์เป็นสมาชิกความจริงแล้วขณะนั้นนายบุญจันทร์ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้การหลอกลวงของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงมีผลเพียงให้โจทก์ร่วมรับนายบุญจันทร์เข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาได้ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ร่วมแต่ประการใดไม่ แม้ต่อมาโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้จำเลยที่ 1 ไปจำนวน 92,000 บาท แต่ก็เนื่องจากนายบุญจันทร์ถึงแก่กรรมหาใช่เนื่องจากจำเลยทั้งสองหลอกลวงไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ย่อมตกไปด้วย จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 92,000 บาท แก่โจทก์ร่วมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องและยกคำขอทั้งหมด

Share