คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายตามฟ้องหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาค่างวดรถยนต์ติดต่อกันถึง 7 งวดจำเลยจึงใช้สิทธิตามสัญญายึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ จำเลยจึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา คดีจึงฟังไม่ได้ตามฟ้อง ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีต่อไปว่า เมื่อจำเลยยึดรถพิพาทคืนจากโจทก์ เป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญา คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม และให้จำเลยคืนเงินค่างวดรถยนต์ที่ได้รับชำระไว้แล้วทั้งหมดแก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาท เป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืน หรือชำระเงิน๕๕๒,๑๒๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ผิดนัดชำระราคารถยนต์ที่ซื้อไปจากจำเลยที่ ๑ รวม ๗ งวด เป็นเงิน ๑๖๐,๐๐๐ บาทเศษเป็นการผิดสัญญา จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ จึงใช้สิทธิตามสัญญายึดรถคืนมาโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ทิ้งฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์มีอำนาจฟ้องโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดไม่ผ่อนชำระราคาตามสัญญา จำเลยจึงใช้สิทธิตามสัญญายึดรถยนต์คันพิพาทคืนจากโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการผิดสัญญา แต่การที่จำเลยใช้สิทธิยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์เท่ากับเป็นการแสดงเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทอีกต่อไป เป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อสัญญาที่ตกลงไว้ต่อกัน จำเลยต้องคืนเงินค่ารถยนต์พิพาทที่ได้รับชำระไว้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์กลับสู่ฐานะเดิม สำหรับจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าเป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ ๑จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินจำนวน ๔๒๙,๑๒๐ บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาทคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๖ โจทก์ซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุจากจำเลยที่ ๑ ในราคา ๗๑๔,๙๙๐ บาท โดยตกลงผ่อนชำระราคาเป็น ๓๐ งวด งวดละ๒๓,๘๔๐ บาท งวดแรกชำระวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๖ งวดต่อไปทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน จนกว่าจะครบ ปรากฏตามสัญญาขายรถยนต์โดยมีเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.๓ หรือ ล.๑ โจทก์ได้ผ่อนชำระราคาให้จำเลยที่ ๑ ได้รวม ๑๘ งวด เป็นเงิน ๔๒๙,๑๒๐ บาท หลังจากนั้นโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคาค่างวดติดต่อกันรวม ๗ งวด ต่อมาวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ จึงยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความสำคัญว่า โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยโดยวิธีผ่อนชำระราคาเป็นงวดรวม ๓๐ งวด จำเลยได้ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ครอบครองตลอดมา โจทก์ได้ชำระหนี้ราคารถยนต์ให้จำเลยแล้วบางส่วนเป็นเงิน ๕๔๒,๑๒๐ บาท ระหว่างโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่รถยนต์อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จำเลยให้ลูกจ้างมานำรถยนต์ไปจากความครอบครองของโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ จำเลยให้การว่า โจทก์ประพฤติผิดสัญญาโดยค้างชำระราคารถถึง ๗ งวด เป็นเงิน ๑๖๐,๐๐๐ บาทเศษ จำเลยทวงถามแล้วโจทก์เพิกเฉย จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทจึงใช้สิทธิตามสัญญายึดรถยนต์คืนมาโดยชอบ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายตามฟ้องหรือไม่ซึ่งตามสัญญาขายรถยนต์พิพาทเอกสารหมาย จ.๓ หรือ ล.๑ ข้อ ๘ ระบุว่า หากผู้ซื้อผิดนัดการชำระเงินก็ดี ผู้ขายหรือผู้รับมอบหมายจากผู้ขายมีสิทธิเข้ายึดถือครอบครองรถยนต์พิพาทได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องและบอกกล่าวให้ผู้ซื้อทราบก่อน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาค่างวดรถยนต์ติดต่อกันถึง ๗ งวด จำเลยจึงใช้สิทธิตามสัญญายึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา คดีจึงฟังไม่ได้ตามฟ้องศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสีย การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีต่อไปว่า เมื่อจำเลยยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ เป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญา คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม และให้จำเลยคืนเงินค่างวดรถยนต์ที่ได้รับชำระไว้แล้วทั้งหมดแก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เป็นการไม่ชอบ
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share