คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5387/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ เมื่อปรากฏจากคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 2 แจ้งชัดแล้วว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยแม้ว่าคดีดังกล่าวที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจะยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดดังที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์จำเลยจึงยังคงต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวอยู่ การที่คดียังไม่ถึงที่สุดจึงไม่ใช่เหตุที่จะนำมานับโทษจำเลยต่อไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง รถยนต์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2747/2542
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 97 (ที่ถูกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97) กึ่งหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 27 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 18 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 ปี ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1772/2545 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2747/2542 หมายเลขแดงที่ 1772/2545 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การนับโทษต่อ คดีที่จะนับโทษต่อจะต้องเป็นคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดหรือไม่ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1772/2545 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้นเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด ที่ศาลชั้นต้นให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้วเมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ เมื่อปรากฏจากคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 2 แจ้งชัดแล้วว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยแม้ว่าคดีดังกล่าวที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจะยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดดังที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยจึงยังคงต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวอยู่ การที่คดียังไม่ถึงที่สุดจึงไม่ใช่เหตุที่จะนำมานับโทษจำเลยต่อไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1772/2545 ของศาลชั้นต้น ตามคำขอของโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนในส่วนนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share