แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าไม่เคยกู้เงินและทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ โดยมิได้ให้การต่อสู่ว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์แล้ว ดังนี้คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะนำพยานหลักฐานเข้าสืบก็เป็นการนำสืบนอกข้อต่อสู้ในคำให้การต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ฐานะผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระเงินจำนวน 739,588.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 364,482.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมโจทก์ และไม่เคยได้รับเงินกู้จำนวน 400,000 บาท จากโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำสัญญค้ำประกันกับโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 739,588.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 364,482.11 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 พฤษภาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่ามีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ครบถ้วนตามที่จำเลยทั้งสองได้นำสืบพยานหลักฐานแล้วในชั้นพิจารณานั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ให้ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่ามิได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การว่ามิได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์แล้ว ดังนี้ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะนำพยานหลักฐานเข้าสืบก็เป็นการนำสืบนอกข้อต่อสู้ในคำให้การ ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน