คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยตกลงขายเฉพาะที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ขายบ้านพิพาทให้ด้วยจำเลยเคยไปตรวจสอบสัญญาซื้อขายแล้วเดิมมีข้อความระบุไว้เพียงว่าขายเฉพาะที่ดินแต่ภายหลังกลับมีข้อความเพิ่มเติมขึ้นมาว่าจำเลยขายบ้านพิพาทด้วยศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยแล้วต่างแถลงรับตรงกันว่าวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทบ้านพิพาทได้ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทแล้วและนอกจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทแล้วทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านพิพาทอีกดังนี้คำแถลงรับของคู่ความดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่มีการระบุว่าขายบ้านพิพาทด้วยก็แสดงว่ามีการเพิ่มเติมข้อความส่วนนี้เข้าไปในสัญญาดังกล่าวตามข้อต่อสู้ของจำเลยซึ่งเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่ามีการปลอมข้อความของสัญญาขึ้นบางส่วนนั่นเองจำเลยย่อมมีสิทธิจะนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94วรรคท้ายข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์กับข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้แน่ชัดต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามคู่ความแล้วก็ตามจึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานโจทก์พยานจำเลยและพิพากษาขับไล่จำเลยตามฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 19 และบ้านเลขที่197 หมู่ที่ 13 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายให้โจทก์ ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายต้องขาดประโยชน์ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,500 บาท ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและล้านของโจทก์ให้จำเลยส่งมอบที่ดินและบ้านให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้โจทก์ได้เข้าครอบครอง กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,500บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขายเฉพาะที่ดินให้โจทก์ ไม่ได้ขายบ้านให้ด้วย สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและเพิ่มข้อความว่าจำเลยขายบ้านให้โจทก์ด้วย โดยจำเลยไม่เคยรู้เห็นยินยอม โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย หากจะเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ500 บาท
วันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง โจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่า วันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทบ้านพิพาท ได้ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทแล้ว และนอกจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.ล.1 แล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านพิพาทอีกกับโจทก์แถลงไม่ติดใจประเด็นค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากบ้านเลขที่ 197 และที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19 ตำบลจุมพลอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวในสภาพเรียบร้อย คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์อ้างในฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบ เนื่องจากคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้ให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองจึงอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่ได้ เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์นั้น จำเลยอุทธรณ์ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยโดยอ้างว่าเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารเป็นการไม่ชอบ ซึ่งข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นการวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วตามคำให้การของจำเลยที่ว่า จำเลยตกลงขายเฉพาะที่ดินให้โจทก์ ไม่ได้ขายบ้านพิพาทให้ด้วยจำเลยเคยไปตรวจสอบสัญญาซื้อขายแล้ว เดิมมีข้อความระบุไว้เพียงว่าขายเฉพาะที่ดินแต่ภายหลังกลับมีข้อความเพิ่มเติมขึ้นมาว่าจำเลยขายบ้านพิพาทด้วยเมื่อศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยแล้วต่างแถลงรับตรงกันว่า วันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท บ้านพิพาทได้ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทแล้ว และนอกจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.ล.1 แล้วทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านพิพาทอีกดังนี้ คำแถลงรับของคู่ความดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับเอกสารหมาย จ.ล.1 ที่มีการระบุว่า ขายบ้านพิพาทด้วยก็แสดงว่ามีการเพิ่มเติมข้อความส่วนนี้เข้าไปในสัญญาดังกล่าวตามข้อต่อสู้ของจำเลย ซึ่งเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่ามีการปลอมข้อความของสัญญาขึ้นบางส่วนนั่นเอง จำเลยย่อมมีสิทธิจะนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย ข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์กับข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลย จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้แน่ชัดต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามคู่ความแล้วก็ตาม
พิพากษายืน

Share