คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีปรากฏตามฟ้องของโจทก์เองว่า จำเลยล้มป่วยเป็นโรคผิดปกติทางประสาทและจิต และแพทย์ลงความเห็นว่า จำเลยมีอาการโรคจิตอย่างร้ายแรงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ และในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งเป็นเวลาภายหลัง โจทก์ยื่นฟ้องเพียงเดือนเดียว จำเลยก็ไม่มีทนายความ ตามคำแก้อุทธรณ์และฎีกาโจทก์ก็ไม่ได้โต้เถียงว่ามิได้ปิดบังลอบพาจำเลยไปศาล ได้แต่โต้แย้งว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยมีความรู้สึกผิดชอบดีทุกประการ ซึ่งก็ขัดกับข้ออ้างที่โจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่าดังกล่าว พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องแล้วใช้อุบายพาจำเลยซึ่งวิกลจริตไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นกรณีที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปเพราะถูกโจทก์ฉ้อฉลจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนสัญญานั้นและคำพิพากษาตามยอมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยอ้างเหตุว่าจำเลยล้มป่วยโดยโรคผิดปกติทางประสาทและจิต ตั้งแต่ปลายปี 2522 มีอาการเพ้อเจ้อคุ้มดีคุ้มร้ายอาละวาดและไม่ยอมให้โจทก์ร่วมประเวณี แพทย์ลงความเห็นว่าจำเลยมีอาการทางโรคจิตอย่างร้ายแรง ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนหย่า ให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์และให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ต่อมาโจทก์จำเลยร่วมกันแถลงว่าสามารถตกลงกันได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ยื่นต่อศาลมีใจความว่า โจทก์จำเลยจะจดทะเบียนหย่ากันภายใน 15 วันโจทก์ยอมจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลย เดือนละ 6,000 บาท และยอมให้สินสมรสตามฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยยอมให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยอุทธรณ์ว่า สินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยมีมูลค่าไม่น้อยกว่า10 ล้านบาท โจทก์ประสงค์จะหย่ากับจำเลยเพื่อไปสมรสกับหญิงอื่นโจทก์หลอกลวงฉวยโอกาสพาจำเลยซึ่งเป็นคนวิกลจริตไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยลำพังไม่ให้ญาติจำเลยทราบ และจำเลยไม่มีทนายแม้ศาลจะอ่านข้อความใด ๆ ให้ฟังจำเลยก็ไม่เข้าใจเนื่องจากจำเลยวิกลจริต ไม่มีความรู้สึกผิดชอบ ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยถูกโจทก์ฉ้อฉลหรือไม่พิเคราะห์แล้วปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์เองว่า จำเลยล้มป่วยเป็นโรคผิดปกติทางประสาทและจิตมาตั้งแต่ปลายปี 2522 และแพทย์ลงความเห็นว่าจำเลยมีอาการโรคจิตอย่างร้ายแรงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องเพียงเดือนเดียวจำเลยก็ไม่มีทนายความตามคำแก้อุทธรณ์และฎีกาโจทก์ไม่ได้โต้เถียงว่ามิได้ปิดบังลอบพาจำเลยไปศาล ได้แต่โต้แย้งว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยมีความรู้สึกผิดชอบดีทุกประการ ซึ่งก็ขัดกับข้ออ้างที่โจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่าว่าจำเลยมีอาการทางโรคจิตอย่างร้ายแรงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุผลให้รับฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลยว่า โจทก์ฟ้องแล้วใช้อุบายพาจำเลยซึ่งวิกลจริตไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นกรณีที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความไป เพราะถูกโจทก์ฉ้อฉล จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนสัญญานั้นและคำพิพากษาตามยอมได้
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share