คำวินิจฉัยที่ 30/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง กรณีผู้ฟ้องคดียื่นใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาลในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกต่อผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำขอและเอกสารประกอบเพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางการตรวจสอบการจ่ายเงินตามมาตรการรถยนต์คันแรกของกระทรวงการคลัง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีแจ้งว่าการยื่นคำขอของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขจึงไม่มีสิทธิรับเงินตามมาตรการดังกล่าว ขอให้จ่ายเงินภาษีตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า เงินที่รัฐให้คืนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกในจำนวนเท่ากับภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ซื้อตามโครงการดังกล่าวเป็นเงินช่วยเหลือเพื่อเป็นการลดภาระการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งรถยนต์ใหม่คันแรกของประชาชนตามที่ได้แถลงไว้ในนโยบายของรัฐบาล เงินดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นเงินภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ใหม่คันแรกที่รัฐเรียกเก็บจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตโดยตรงตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการประเมินหรือการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตระหว่างผู้ประกอบอุตสาหกรรมกับรัฐ อันเป็นคดีภาษีอากรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๐/๒๕๕๘

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลภาษีอากรกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ นายพูนศักดิ์ รุ่งเรือง ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง สรรพสามิตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕ ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ ๒ กรมสรรพสามิต ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๐๗/๒๕๕๖ ความว่า ผู้ฟ้องคดีจองรถยนต์ใหม่คันแรกจากบริษัทโตโยต้า กรุงไทย จำกัด ประเภทรถยนต์นั่ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส ขนาดความจุกระบอกสูบ ๑๔๙๗ ซีซี ตามใบจอง ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และได้ลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตเพื่อขอใช้สิทธิรับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกแล้ว ตามวันที่รับแบบ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๔๖ นาฬิกา จึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ผู้ฟ้องคดีได้ไปยื่นเอกสารประกอบเพื่อขอใช้สิทธิรับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายของรัฐบาล จำนวน ๑๒ รายการ แต่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีหนังสือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ แจ้งว่า ผู้ฟ้องคดีทำผิดขั้นตอนโดยไม่ได้ส่งเอกสารหลังจากลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จึงไม่สามารถดำเนินการคืนภาษีให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือชี้แจงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีเจตนาทำผิดขั้นตอน เนื่องจากเข้าใจว่ากรณีลงทะเบียนใช้สิทธิทางอินเตอร์เน็ตต้องยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมภายใน ๙๐ วัน นับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุมัติหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกว่า สำหรับกรณีลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิทางอินเตอร์เน็ต ให้ยื่นแบบคำขอใช้สิทธิพร้อมเอกสารภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยื่นเอกสารภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยจึงมีหนังสืออุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า มติคณะรัฐมนตรีตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อ้างถึง ไม่ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานและไม่ได้กำหนดเวลาให้ผู้ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต้องไปยื่นคำขอคืนเงินกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐานภายในวันที่เท่าใด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอนหนังสือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ พิจารณาคำขอและเอกสารหลักฐานของผู้ฟ้องคดีโดยเร็ว และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนเงินภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกของผู้ฟ้องคดี จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดเพื่อให้ได้รับสิทธิได้รับเงินคืนตามโครงการรถยนต์คันแรก ย่อมไม่ได้รับสิทธิตามคำขอใช้สิทธิดังกล่าว ประกอบกับคำแนะนำสำหรับประชาชนในการยื่นขอใช้สิทธิสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาลโดยออกเผยแพร่ทางระบบอินเตอร์เน็ตของกรมสรรพสามิตและประชาสัมพันธ์ไปยังตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ต้น และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้แจ้งการสงวนสิทธิไว้อย่างชัดเจนแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างสิทธิใดๆ ในการเรียกร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จ่ายเงินคืนตามโครงการรถยนต์คันแรกพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการฟ้องร้องคดีให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การขอใช้สิทธิรับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายของรัฐบาลเป็นมาตรการภาษี จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๓) และ (๔) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีได้เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกให้ผู้ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยผู้ฟ้องคดีได้จองรถยนต์ใหม่คันแรกตามใบจอง ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และได้ลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตเพื่อขอใช้สิทธิรับเงินตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว ตามวันที่รับแบบ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๔๖ นาฬิกา ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีหนังสือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕ แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบว่า ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยื่นเอกสารภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีไม่ได้กำหนดเวลาให้ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก กรณีลงทะเบียนขอใช้สิทธิทางอินเตอร์เน็ต ต้องไปยื่นคำขอคืนเงินกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พร้อมเอกสารหลักฐานภายในวันที่เท่าใด อีกทั้งการเผยแพร่คำแนะนำสำหรับประชาชนในการขอใช้สิทธิทางอินเตอร์เน็ตของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ทางเว็บไซต์ www.excise.go.th ก็มิได้กำหนดเวลาการยื่นเอกสารหลักฐานสำหรับกรณีการลงทะเบียนขอใช้สิทธิทางอินเตอร์เน็ต การที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นเอกสารหลักฐานให้แก่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ จึงถือว่าได้ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ครบแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่จนถึงปัจจุบันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยังไม่ได้พิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ปฏิเสธสิทธิของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนเงินภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ย กรณีจึงเป็นการฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามมีอำนาจหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่กำหนดให้ดำเนินการจ่ายเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกตามมาตรการรถยนต์คันแรก โดยผู้ฟ้องคดีได้ซื้อรถยนต์ใหม่ตามมาตรการรถยนต์คันแรกและได้ยื่นคำขอใช้สิทธิรับเงินตามมาตรการดังกล่าวแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้พิจารณาคำขอใช้สิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ได้ลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตแล้ว และมีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบว่า มติคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการและแนวทางการจ่ายเงินให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ สำหรับการลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวทางอินเตอร์เน็ต ให้ยื่นแบบคำขอใช้สิทธิพร้อมเอกสารภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จึงไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว และไม่ได้ส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางเพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามแนวทางการปฏิบัติงานที่กระทรวงการคลังกำหนด จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยประสงค์ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดำเนินการจ่ายเงินตามมาตรการรถยนต์คันแรกแก่ผู้ฟ้องคดี คดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนข้อที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามโต้แย้งว่า การขอใช้สิทธิตามมาตรการรถยนต์คันแรกซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเป็นเรื่องของการขอให้คืนภาษีสรรพสามิตทางอ้อม ข้อพิพาทดังกล่าวระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนภาษีอากร อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรนั้น เห็นว่า เงินที่รัฐนำมาจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการรถยนต์คันแรกเป็นเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินและให้กระทรวงการคลังเสนอขอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนที่กำหนดในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ เงินที่รัฐจ่ายให้แก่ผู้ยื่นคำขอใช้สิทธิตามมาตรการดังกล่าว จึงมิใช่เงินภาษีอากรที่ได้เรียกเก็บจากผู้ชำระภาษี การจ่ายเงินตามมาตรการดังกล่าวจึงมิใช่การคืนภาษีตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง อีกทั้งผู้ยื่นคำขอใช้สิทธิซึ่งเป็นผู้ซื้อรถยนต์มิได้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ดังนั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากร ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งเข้าข้อยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งอนุมัติหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกตามมาตรการรถยนต์คันแรกที่กระทรวงการคลังเสนอ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งอนุมัติหลักการและแนวปฏิบัติเพิ่มเติมมาตรการรถยนต์คันแรก และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่อนุมัติขยายระยะเวลาการรับและส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานบางรายการในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกนั้น เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบมาตรการรถยนต์คันแรกเพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้ที่จะขอใช้สิทธิตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งแนวทางการดำเนินการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยผู้ประสงค์จะใช้สิทธิขอคืนเงินตามมาตรการดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขก็จะเสนอให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินต่อไป ดังนั้น มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาในการทำนิติกรรมในทางแพ่ง เพราะคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ มิได้ใช้อำนาจทางปกครองซึ่งจะทำให้มีสถานะเหนือกว่าประชาชนผู้ใช้สิทธิ รวมทั้งผู้ฟ้องคดี หากแต่อยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ประกอบกับมาตรการรถยนต์คันแรกไม่มีผลบังคับเป็นการทั่วไปที่จะเข้าลักษณะเป็นกฎ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติมิได้ถูกบังคับว่าจะต้องใช้สิทธิ หากแต่อยู่ในความสมัครใจ เมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำขอใช้สิทธิต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีในการตรวจสอบว่าผู้ฟ้องคดีมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่ อันเป็นการกระทำในฐานะคู่สัญญาในทางแพ่ง มิใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นกรณีพิพาทตามสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๗ และเงินที่คืนให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกก็มิใช่เงินภาษีสรรพสามิต แต่เป็นเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จ่ายจากเงินงบประมาณประจำปี โดยจ่ายให้ตามจำนวนภาษีสรรพสามิตที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๓) แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก ผู้ฟ้องคดีได้จองรถยนต์ใหม่คันแรกและได้รับมอบรถยนต์แล้ว เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอใช้สิทธิรับคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กลับมีหนังสือแจ้งว่า การยื่นคำขอของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่มติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้และไม่ได้รับสิทธิคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีดำเนินการถูกต้อง คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ไม่ให้ผู้ฟ้องคดีได้รับสิทธิคืนภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนเงินภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกของผู้ฟ้องคดีพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า ผู้ฟ้องคดีทำผิดขั้นตอนโดยไม่ได้ส่งเอกสารหลังจากลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่มติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินคืน การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกเป็นนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ด้วยการให้มีมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการ ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ อนุมัติหลักการและแนวทางการจ่ายเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกตามมาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอ รวมทั้งอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก โดยมาตรการดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาการซื้อหรือจองรถยนต์ คุณลักษณะของรถยนต์ จำนวนเงินที่จ่ายถือตามค่าภาษีสรรพสามิตที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท/คัน คุณสมบัติของผู้ขอใช้สิทธิ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการครอบครองรถยนต์ วิธีการและระยะเวลาในการยื่นคำขอพร้อมเอกสารหลักฐาน และการจ่ายเงิน โดยให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เป็นผู้รับคำขอและตรวจสอบเอกสารหลักฐาน และกรมบัญชีกลางเป็นผู้อนุมัติเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ซื้อ อันจะเห็นได้ว่ามาตรการรถยนต์คันแรกมิได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ แต่เป็นมาตรการที่ออกตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งหลักเกณฑ์การขอคืนเงินตามมาตรการดังกล่าวแยกต่างหากจากการคืนภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ นอกจากนี้มาตรการรถยนต์คันแรกยังกำหนดให้อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้คืนเงิน ส่วนกรมสรรพสามิตคงมีหน้าที่รับคำขอคืนและประสานภายในกับกรมบัญชีกลาง ส่วนทางด้านผู้ขอคืนนั้น กำหนดให้คืนแก่ผู้ซื้อโดยตรง มิใช่คืนให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๗ อีกทั้งเป็นกรณีที่ไม่ได้โต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนค่าภาษีที่จะต้องเสีย แต่เป็นกรณีที่ได้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมไปแล้ว จึงมาสู่ปัญหาว่าจะต้องคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์หรือไม่ โดยเฉพาะมาตรการรถยนต์คันแรกกำหนดด้วยว่า ให้จ่ายเงินตามสิทธิโดยถือตามจำนวนภาษีสรรพสามิตที่จ่ายจริง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าเงินที่จ่ายเป็นเงินอื่นที่ไม่ใช่ภาษี เพียงแต่ใช้จำนวนภาษีสรรพสามิตที่รัฐจัดเก็บมากำหนดกรอบการจ่ายเงินเท่านั้น ทั้งหากจะถือเป็นเงินภาษีก็ไม่น่าจะมีข้อจำกัดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท/คัน อันจะเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาคทางภาษี นอกจากนี้กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๙๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ก็กำหนดให้เงินได้ที่ได้รับจากรัฐอันเนื่องมาจากการได้มาซึ่งรถยนต์คันแรกของผู้มีเงินได้ตามมาตรการรถยนต์คันแรกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยมีเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงดังกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการช่วยเหลือให้ประชาชนมีรถยนต์เป็นของตนเอง โดยกำหนดให้มีมาตรการรถยนต์คันแรกขึ้นด้วยวิธีการให้เงินช่วยเหลือเป็นจำนวนเท่ากับภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ซื้อ ดังนั้น เงินที่รัฐให้คืนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกในจำนวนเท่ากับภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ซื้อตามโครงการดังกล่าวจึงเป็นเงินช่วยเหลือเพื่อเป็นการลดภาระการลงทุน หรือค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งรถยนต์ใหม่คันแรกของประชาชนตามที่ได้แถลงไว้ในนโยบายของรัฐบาล เงินดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นเงินภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ใหม่คันแรกที่รัฐเรียกเก็บจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตโดยตรงตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการประเมินหรือการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตระหว่างผู้ประกอบอุตสาหกรรมกับรัฐอันเป็นคดีภาษีอากรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดียื่นใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาลในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำขอและเอกสารประกอบเพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางการตรวจสอบการจ่ายเงินตามมาตรการรถยนต์คันแรกของกระทรวงการคลัง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหนังสือแจ้งว่า การยื่นคำขอของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขและไม่มีสิทธิรับเงินตามมาตรการดังกล่าว ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนเงินภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกของผู้ฟ้องคดีพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายพูนศักดิ์ รุ่งเรือง ผู้ฟ้องคดี สรรพสามิตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕ ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ ๒ กรมสรรพสามิต ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share