แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เอาประกันภัยกับจำเลยสำหรับค่าทดแทนลูกจ้างของโจทก์ในระดับผู้จัดการร้านสาขา ถ้าโจทก์มีความรับผิดต้องจ่ายค่าทดแทนจำเลยจะต้องชดใช้เงินทุกจำนวนที่โจทก์จะต้องรับผิดนั้นกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทข้อ 5 ระบุว่า”ค่าเบี้ยประกันภัยจะต้องคิดตามจำนวนค่าแรงและเงินเดือนตลอดทั้งรายได้อื่นๆที่ผู้เอาประกันจ่ายให้แก่ลูกจ้างในระหว่างระยะเวลาประกันภัยระยะหนึ่ง ๆ ………” ดังนั้นการแจ้งจำนวนรายได้ที่แท้จริงที่ผู้เอาประกันภัยจ่ายให้ลูกจ้างจึงเป็นข้อสารสำคัญ เมื่อโจทก์แจ้งจำนวนเงินผิดไปถึง 10 เท่าตัวเศษเป็นผลทำให้จำเลยไม่อาจเรียกเบี้ยประกันภัยซึ่งตนมีสิทธิเรียกร้องได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยถึง 200,000 บาทเศษ ถือได้ว่าเป็นการไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ควรต้องแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบในเวลาทำสัญญาประกันภัย สัญญาประกันภัยฉบับพิพาทจึงตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865
ในสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงทุกข้ออันอาจจะทำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาด้วย แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะระบุให้จำเลยมีสิทธิตรวจดูสมุดบัญชีก็ตาม แต่ก็หาใช่เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จำเลยจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงนี้เองไม่ และจะถือว่าจำเลยควรจะทราบข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ได้ดุจกัน
เมื่อผู้จัดการร้านสาขาคนหนึ่งของโจทก์ถึงแก่ความตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ โจทก์ได้แจ้งรายได้อื่น ๆ ของผู้ตายนอกจากเงินเดือนให้จำเลยทราบด้วยแล้ว จำเลยไม่ได้บอกล้างโมฆียะกรรมภายใน 1 เดือนนับแต่นั้น แต่การที่จำเลยจะบอกล้างโมฆียะกรรมรายนี้ได้ จำเลยจะต้องรู้ข้อเท็จจริงมากกว่านั้นคือต้องคำนวณจากรายได้ที่แท้จริงทั้งหมดของผู้จัดการร้านสาขาของโจทก์ทั้งหมด เพื่อจะได้ความว่าโจทก์ปกปิดข้อความจริงใดอันจะทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะหรือไม่ เมื่อจำเลยสอบถามไปโจทก์ก็ไม่ตอบให้จำเลยทราบจนกระทั่งฟ้องจำเลยแล้วและจำเลยก็ได้บอกล้างไปภายใน 1 เดือนนับแต่จำเลยได้สอบถามไปกรณีจึงไม่ต้องด้วยวรรคสอง ของมาตรา 865
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยค่าทดแทนสำหรับคนงานประเภทต่าง ๆ กับจำเลย ต่อมานายมนตรีคนงานของโจทก์ถูกคนร้ายดักปล้นเงินและถูกอาวุธปืนของคนร้ายถึงแก่ความตาย โจทก์แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยไม่ยอมจ่าย ต่อมากรมแรงงานมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินค่าทดแทนให้ทายาทนายมนตรีรวมเป็นเงิน ๑๕๕,๐๐๐ บาท โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินจำนวนนี้ แต่จำเลยปฏิเสธและได้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตบอกล้างกรมธรรม์ฉบับพิพาท จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๕๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ภายหลังที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าทดแทน จำเลยได้แจ้งให้โจทก์แสดงรายละเอียดของลูกจ้างในตำแหน่งผู้จัดการร้านต่าง ๆ ว่าได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าแรงอื่น ๆ เป็นรายบุคคลว่าเป็นจำนวนเท่าใดแต่โจทก์ไม่ยอมส่งรายละเอียดตามที่จำเลยต้องการ แสดงว่าโจทก์รู้แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นจำเลยจึงบอกล้างกรมธรรม์ประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์รู้แล้วละเว้นเสียไม่แจ้งจำนวนเงินค่าจ้างที่จ่ายให้ผู้จัดการร้านสาขาของโจทก์ตามความเป็นจริงให้จำเลยทราบซึ่งจำเลยจะต้องเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยสูงกรมธรรม์ประกันภัยจึงเป็นโมฆียะเมื่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะโจทก์จำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม พิพากษาให้จำเลยคืนเบี้ยประกัน ๒๓,๓๕๙.๓๘ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้วพิพากษาแก้ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน ๑๕๕,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์เอาประกันภัยค่าทดแทนสำหรับลูกจ้างโจทก์ในระดับผู้จัดการร้านสาขาทั้งหมดเป็นจำนวนเงินตามรายได้ของบุคคลเหล่านี้คือ ๑,๑๕๘,๑๖๔ บาทโดยคำนวณจากยอดเงินเดือนในปี ๒๕๑๐ เพราะยอดเงินที่แท้จริงในปีที่เอาประกันไม่อาจทราบล่วงหน้าได้ โจทก์จำเลยตกลงกันว่าเมื่อใกล้จะสิ้นกำหนดระยะเวลาประกัน โจทก์ต้องแจ้งยอดเงินได้ที่แท้จริงให้จำเลยใหม่เพื่อคำนวณเบี้ยประกันภัยสำหรับปีที่เอาประกันภัยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปรับเบี้ยประกันภัยให้ตรงกับที่เป็นจริง ในปลายปี ๒๕๑๑ โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่า เงินเดือนค่าจ้างของผู้จัดการร้านสาขาในปี ๒๕๑๑ ที่แท้จริงคือ ๑,๓๙๓,๒๔๕ บาท จำเลยจึงเรียกเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นตามส่วน เงินจำนวนดังกล่าวเป็นแต่เงินเดือนโดยเฉพาะไม่รวมถึงค่าจ้างอื่น ๆ สำหรับรายได้ทั้งหมดของผู้จัดการร้านสาขาของโจทก์ทุกร้านใน พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๕,๑๙๔,๐๕๖.๗๘ บาท
วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท ข้อ ๕ ระบุว่า “ค่าเบี้ยประกันภัยจะต้องติดตามจำนวนเงินค่าแรงและเงินเดือนตลอดทั้งรายได้อื่น ๆ ที่ผู้เอาประกันจ่ายให้แก่ลูกจ้างในระหว่างระยะเวลาประกันภัยระยะหนึ่ง ๆ ……..” ตามกรมธรรม์ข้อนี้จะเห็นได้ว่ารายได้อันแท้จริงของผู้จัดการร้านสาขาทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๕๑๑ คือ ๑๕,๑๙๔,๐๕๖.๗๘ บาท แทนที่จะเป็น ๑,๓๙๓,๒๔๕ บาท ดังที่โจทก์แจ้งจำเลย การที่โจทก์แจ้งจำนวนเงินผิดไปถึง๑๐ เท่าตัวเศษนี้ เป็นผลทำให้จำเลยไม่อาจเรียกเบี้ยประกันภัยซึ่งตนมีสิทธิเรียกร้องได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ อันถือได้ว่าเป็นการไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ควรต้องแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบในเวลาทำสัญญาประกันภัย คือตอนคิดคำนวณเบี้ยประกันภัยรายปีนั่นเองสัญญาประกันภัยฉบับพิพาทจึงตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕
เมื่อสัญญาประกันภัยข้อ ๕ ระบุไว้ดังกล่าวแล้ว การแจ้งจำนวนที่แท้จริงของผู้จัดการร้านสาขาทั้งหมดจึงเป็นข้อสารสำคัญแม้จะเป็นการประกันภัยประเภทเหมาก็ตาม
ในสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงทุกข้ออันอาจจะทำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาด้วย แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะระบุให้จำเลยมีสิทธิตรวจดูสมุดบัญชีก็ตาม แต่ก็หาใช่เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จำเลยจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงนี้เองไม่ และจะถือว่าจำเลยควรจะทราบข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ได้ดุจกัน
แม้โจทก์ได้แจ้งรายได้อื่น ๆ ของลูกจ้างผู้ตายนอกจากเงินเดือนให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๑ แต่การที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมรายนี้ได้ จำเลยจะต้องคำนวณรายได้ที่แท้จริงทั้งหมดของผู้จัดการร้านสาขาทั้งหมดเพื่อจะได้ทราบว่าโจทก์ได้ปกปิดข้อความจริงใดอันจะทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะหรือไม่ จำเลยทวงถามโจทก์ในเรื่องนี้เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๓ โจทก์ไม่ตอบ จนกระทั่งฟ้องคดีนี้แล้วจึงแจ้งให้จำเลยทราบ เมื่อจำเลยไม่ทราบมูลอันจะบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ได้ก่อนวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๓ จำเลยจึงบอกล้างในวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ได้ กรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕ วรรค ๒
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์