คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5366/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีอากรประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 แต่การที่จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และขอรับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนไปก่อน โดยวางหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ซึ่งกรมสรรพากรโจทก์ได้คืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนการตรวจสอบเพื่อคืนภาษี เมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยนำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ที่พิพาทมาเพื่อประเมินสถานะกิจการของจำเลยประกอบการพิจารณาตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจำเลยไม่ไปพบและไม่นำเอกสารดังกล่าวไปให้โจทก์ การที่โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์เรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยขอรับคืนไปก่อนการตรวจปฏิบัติการเพื่อคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ที่พิพาทเสร็จสิ้นและไม่ใช่การประเมินให้จำเลยเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่จำต้องออกหมายเรียกและมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังจำเลยก่อนฟ้องเรียกคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษี มิถุนายน 2538 แสดงยอดขาย 3,046,515 บาท ยอดขายที่เสียภาษีอัตราร้อยละ 0 ทั้งจำนวน ยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษี 14,869,293.90 บาท ภาษีซื้อ 1,042,740.06 บาท จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสดเท่ากับภาษีซื้อเดือนภาษีตุลาคม 2538 แสดงยอดขาย 4,483,887.34 บาท ยอดขายที่เสียภาษีอัตราร้อยละ 0 เป็นเงิน 4,292,513.34 บาท ยอดขายที่ต้องเสียภาษี 191,374 บาท ภาษีขาย 13,396.18 บาท ยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษี 40,085,569.61 บาท ภาษีซื้อ 2,805,989.90 บาท จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสด 2,792,593.72 บาท เดือนภาษีธันวาคม 2538 แสดงยอดขาย 2,695,725.30 บาท ยอดขายที่เสียภาษีอัตราร้อยละ 0 เป็นเงิน 1,545,565.60 บาท ยอดขายที่ต้องเสียภาษี 1,150,159.80 บาท ภาษีขาย 80,511.19 บาท ยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษี 46,397,876.43 บาท ภาษีซื้อ 3,247,851.44 บาท จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสด 3,167,340.25 บาท เดือนภาษีเมษายน 2539 แสดงยอดขาย 2,142,461.78 บาท ยอดขายที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 เป็นเงิน 1,700,591.78 บาท ยอดขายที่ต้องเสียภาษี 441,870 บาท ภาษีขาย 30,930.90 บาท ยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษี 664,357.40 บาท ภาษีซื้อ 45,505.02 บาท จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสด 15,574.12 บาท เดือนภาษีมิถุนายน 2539 แสดงยอดขาย 7,195,159.85 บาท ยอดขายที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 เป็นเงิน 7,033.099.85 บาท ยอดขายที่ต้องเสียภาษี 162,060 บาท ภาษีขาย 11,344.20 บาท ยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษี 5,141,714 บาท ภาษีซื้อ 359,919.98 บาท จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสด 348,575.78 บาท โจทก์หลงเชื่อคืนเงินรวม 7,366,823.93 บาท แก่จำเลย ภายหลังจึงแจ้งให้จำเลยนำส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนภาษีมกราคม 2538 จนถึงเดือนธันวาคม 2540 เพื่อประเมินสถานะกิจการประกอบการพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนตรวจปฏิบัติการคืนภาษีดังกล่าว จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่นำเอกสารไปให้ตรวจสอบจึงถือว่าจำเลยไม่มีใบกำกับภาษีซื้อมาแสดง ไม่มีสิทธินำเงินภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษีและไม่มีสิทธิคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนนั้น โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำเตือน แต่จำเลยเพิกเฉย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้โจทก์เสียหายขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้อง 549,484.32 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 7,916,308.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 7,366,823.93 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนมิถุนายน 2538 เดือนภาษีตุลาคม 2538 เดือนภาษีธันวาคม 2538 เดือนภาษีเมษายน 2539 และเดือนภาษีมิถุนายน 2539 พร้อมกับใช้สิทธิขอคืนภาษีที่ชำระเกินเป็นเงินสดจำนวน 7,366,823.93 บาท โดยขอรับเงินคืนไปก่อนและให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาพระโขนง มีหนังสือค้ำประกันภายในวงเงินที่ขอรับคืนไป ซึ่งจำเลยได้รับคืนเงินดังกล่าวไปแล้ว ต่อมาภายหลังหนังสือค้ำประกันสิ้นกำหนดเวลา โจทก์แจ้งให้จำเลยนำหนังสือค้ำประกันฉบับใหม่มาแทนฉบับเดิม แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงขอเชิญจำเลยมาพบพร้อมนำส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนภาษีข้างต้นเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่นำเอกสารไปให้ตรวจสอบโจทก์จึงทวงถามให้ส่งเงิน 7,366,823.93 บาท คืนโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 115, 116, 133 ถึง 136, 152 และ 153
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อหนังสือค้ำประกันสิ้นผลผูกพันเพราะสิ้นกำหนดเวลาแล้วจำเลยไม่นำหลักประกันใหม่มาแทน โจทก์จึงมีหนังสือขอเชิญจำเลยมาพบเพื่อขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมให้ส่งรายงานภาษีซื้อและภาษีขายพร้อมใบกำกับภาษีและเอกสารอื่น แต่จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่ส่งเอกสาร จึงถือว่าจำเลยไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ จำเลยไม่อาจนำภาษีซื้อมาหักจากภาษีขายเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษี โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกและแจ้งการประเมินก่อน เห็นว่า แม้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นภาษีอากรประเมินตามมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร แต่การที่จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และขอรับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนไปก่อน โดยวางหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ซึ่งโจทก์ได้คืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนการตรวจสอบเพื่อคืนภาษี เมื่อต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยนำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ที่พิพาทมาเพื่อประเมินสถานะกิจการของจำเลยประกอบการพิจารณาตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจำเลยไม่ไปพบและไม่นำเอกสารดังกล่าวไปให้โจทก์ การที่โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์เรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยขอรับคืนไปก่อนการตรวจปฏิบัติการเพื่อคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ที่พิพาทเสร็จสิ้น และไม่ใช่การประเมินให้จำเลยเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีไม่จำต้องออกหมายเรียกและมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง และศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นสมควรวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ภายหลังหนังสือค้ำประกันของธนาคารสิ้นกำหนดเวลา จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่นำเอกสารไปให้ตรวจสอบ โจทก์จึงถือว่าจำเลยไม่มีใบกำกับภาษีซื้อมาแสดง ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิรับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืน โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินภายใน 30 วัน นับแต่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2545 เมื่อครบกำหนดเวลาตามหนังสือทวงถามจำเลยไม่ชำระหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ดังนั้นจำเลยจึงมีหน้าที่คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับไปแก่โจทก์จำนวน 7,366,823.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 7,366,823.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 มีนาคม 2546) ให้โจทก์ไม่เกิน 549,484.32 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share