แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งห้าและจำเลยต่างเป็นเอกชน ได้ตกลงกันโดยจำเลยตกลงรับโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานตำแหน่งครูผู้สอน และจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนให้โจทก์ทั้งห้าตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลย มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 575 มิใช่สัญญาทางปกครองตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 3 โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน
โจทก์ทั้งห้าเป็นครูตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนฯไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนเพื่อเรียกร้องสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าที่ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพอถือได้ว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนฯ ข้อ 32 และข้อ 33 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 6 มาตรา 17 มาตรา 44 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 และฟ้องเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 582 ซึ่งมิใช่ฟ้องเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ ส่วนที่ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ก็มิใช่ฟ้องที่อ้างสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลยได้
พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 มีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชนให้เป็นระเบียบได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มิใช่กฎหมายซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แม้จะมีการกำหนดให้การคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโดยมีการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 และมีคณะกรรมการประนีประนอม หรือคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อพิจารณาหรือพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดแล้วแต่กรณี เป็นผู้ควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าวก็ตาม ก็มิใช่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งห้าถูกจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งห้าย่อมมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 ก่อน
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดย พ. เป็นผู้ลงนาม เป็นการทำการแทน อ.ผู้รับใบอนุญาตและจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา 820 ดังนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษครูได้ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนคือผู้รับใบอนุญาตหรือผู้จัดการซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้รับใบอนุญาต การที่ พ. เป็นผู้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
จำเลยมิได้อ้างข้อเท็จจริงมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยบรรจุโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานวันใด ห่างจากวันที่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกี่วัน และศาลแรงงานกลางคิดคำนวณค่าชดเชยผิดพลาดเท่าใด ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
ย่อยาว
คดีทั้งห้าสำนวนศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 5
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 17,100 บาท 19,080 บาท 19,080 บาท 38,180 บาท 39,360 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 5,700 บาท 12,720 บาท 12,720 บาท 12,720 บาท 13,120 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 30,000 บาท 30,000 บาท 30,000 บาท 50,000 บาท 50,000 บาท และค่าจ้าง 5,700 บาท 8,520 บาท 9,880 บาท 8,080บาท 10,348 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2542 นางสาวพรพิศณีหัวหน้างานบุคคลของจำเลยได้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2542 และมีคำสั่งพักงานโจทก์ที่ 2ถึงที่ 5 แล้วมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2542 โจทก์ทั้งห้าไปร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้มอบหมายให้ศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตเรียกคู่กรณีมาไกล่เกลี่ย วันที่ 13 พฤษภาคม 2542 นายอิศนุวัฒน์ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ได้ชี้แจงต่อศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตและคณะว่า คำสั่งที่เลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกโดยนางสาวพรพิศณีหัวหน้างานบุคคลของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจเลิกจ้างลูกจ้างของจำเลย และได้ยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าให้โจทก์ทั้งห้ากลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่โจทก์ทั้งห้าไม่กลับไปทำงานให้จำเลยอีกต่อมาจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งห้าถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่นางสาวพรพิศณีลงนามในคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นการทำการแทนนายอิศนุวัฒน์และจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา 820 ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษครูกำหนดขั้นตอนไว้ว่า ผู้มีอำนาจลงโทษครูให้พ้นจากหน้าที่ได้ต้องเป็นผู้จัดการหรือผู้รับใบอนุญาต หรือผู้ได้รับมอบหมายเท่านั้น เห็นว่า การเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้านางสาวพรพิศณีเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากผู้จัดการและผู้รับใบอนุญาตแล้ว ส่วนขั้นตอนการลงโทษครูที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้รัฐจัดการและควบคุมการบริหารงานของโรงเรียนเอกชนให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและคุ้มครองดูแลการทำงานของครู แต่มิใช่บทบัญญัติยกเว้นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องนิติกรรมสัญญา ดังนั้นความผูกพันและความรับผิดตามสัญญาตัวแทนจึงเป็นไปตามหลักทั่วไป แม้นายอิศนุวัฒน์จะได้ทำบันทึกชี้แจงต่อศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 ว่า ได้แจ้งยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าแล้วก็ไม่มีผล แต่เป็นเพียงการแสดงเจตนาเสนอขอจ้างโจทก์ทั้งห้าใหม่ ย่อมขึ้นอยู่กับโจทก์ทั้งห้าว่าจะสนองรับหรือไม่เมื่อโจทก์ทั้งห้าไม่สมัครใจทำงานกับจำเลยใหม่ ย่อมไม่เกิดสัญญาจ้างขึ้นใหม่การบอกยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าของนายอิศนุวัฒน์ไม่มีผล เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้ากระทำผิดใด ๆ อันจะเข้าข้อยกเว้นที่นายจ้างหรือผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 32 และข้อ 33 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 6 มาตรา 17 มาตรา 44 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 แล้ว จำเลยย่อมต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งห้าตามอายุงาน และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยมิได้บอกกล่าวล่างหน้าจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้าโดยหักค่าจ้างที่จำเลยจ่ายถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 ออกก่อน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนต้องการพัฒนาโรงเรียนและบุคลากรครูผู้สอนให้มีคุณภาพและถอดถอนครูที่ไม่มีคุณภาพออกจากระบบ แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้ากระทำความผิดหรือถูกประเมินว่าไม่มีคุณภาพ อีกทั้งวิธีการแก้ปัญหาของจำเลยยังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยในความสุจริต ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าที่ไม่เป็นธรรม เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้ตามสัดส่วนของอายุงานโดยกำหนดให้เท่ากับค่าจ้างปีละ 15 วัน พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 17,100 บาท 19,080 บาท 19,080 บาท 38,180 บาท และ 39,360 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างเป็นเงิน 3,230 บาท 3,604 บาท 3,604บาท 3,604 บาท และ 3,717 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 5,700 บาท 6,360 บาท 6,360 บาท 9,540 บาท และ 9,540 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
จำเลยทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 3 ได้กำหนดคำนิยามคำว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่สัญญาการเป็นครูคดีนี้โจทก์ทั้งห้าและจำเลยต่างเป็นเอกชน ได้ตกลงกันโดยจำเลยตกลงรับโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานให้จำเลยตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ และจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนให้โจทก์ทั้งห้าตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลย จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 มิใช่สัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 3 โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 3.1 ข) และ ค) ว่า จำเลยเป็นนายจ้างซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เฉพาะที่เกี่ยวกับครูใหญ่และครู ตามกฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ 1 โจทก์ทั้งห้าเป็นครูตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลย เห็นว่ากฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ซึ่งออกตามความในมาตรา 4 วรรคสอง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 บัญญัติไว้ใน (1) ว่า มิให้ใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 บังคับแก่นายจ้างซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ทั้งนี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูใหญ่และครู เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนได้ว่าจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างตำแหน่งครูผู้สอน โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
แต่อย่างไรก็ดี คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าคดีนี้พอถือได้อยู่ในตัวว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 32 และข้อ 33 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 6 มาตรา 17 มาตรา 44 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 ฟ้องเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 มิใช่ฟ้องเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 และฟ้องจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานในการใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าการที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นธรรมต่อลูกจ้างหรือไม่ หากเห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน ซึ่งมิใช่ฟ้องที่อ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 3.1 ง) และ จ) ว่า โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้ โดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนพ.ศ.2525 จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 มีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชนให้เป็นระเบียบได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มิใช่กฎหมายซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แม้จะมีการกำหนดให้การคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโดยมีการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 และมีคณะกรรมการประนีประนอม หรือคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อพิจารณาหรือพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด แล้วแต่กรณี เป็นผู้ควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าวก็ตามก็มิใช่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งห้าถูกจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งห้าย่อมมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 ก่อน โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการที่สองว่า คำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าตกเป็นโมฆะหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ข้อ 3.2 ก) ข) และค) ได้ว่า ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษครูได้ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนคือ ผู้รับใบอนุญาต หรือผู้จัดการซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้รับใบอนุญาต นางสาวพรพิศณี ได้รับคำสั่งจากผู้จัดการโรงเรียนซึ่งไม่ใช่ผู้รับใบอนุญาต การที่นางสาวพรพิศณีออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นโมฆะไม่ผูกพันผู้รับใบอนุญาตนั้น เห็นว่า เรื่องนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นางสาวพรพิศณีและนายทวีศักดิ์ซ่อนทรัพย์ จะร่วมกันออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า ได้มีการปรึกษาหารือและได้รับอนุมัติจากนายอิศนุวัฒน์ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียนแล้ว การออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยนางสาวพรพิศณีเป็นผู้ลงนามเป็นการทำการแทนนายอิศนุวัฒน์และจำเลยตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา 820 อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางนับระยะเวลาเพื่อคำนวณจ่ายค่าชดเชยคลาดเคลื่อน เนื่องจากเริ่มนับตั้งแต่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกับจำเลย ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่โจทก์ทั้งห้าได้รับอนุญาตให้บรรจุเป็นครูจนถึงวันเลิกสัญญาการเป็นครูนั้น จำเลยมิได้อ้างข้อเท็จจริงมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยบรรจุโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานวันใด ห่างจากวันที่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกี่วัน และศาลแรงงานกลางคิดคำนวณค่าชดเชยผิดพลาดเท่าใด ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.