คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5360/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยที่ 2 เพียงแต่หยิบยกพยานหลักฐานบางส่วนในสำนวนขึ้นเป็นข้อฎีกา แต่ในการรับฟังพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนประกอบการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 2 และในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ก็หาได้นอกเหนือหรือคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใดไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดปลอมเอกสารราชการกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการรับแจ้งการย้ายทะเบียนบ้านของ ก.ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน และเพิ่มชื่อ ส. เข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ก. และ ส. แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อ ก. และ ส. ให้จ่าสิบเอก อ. ไปมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,161,165 ประกอบมาตรา 86 เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานรับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปกครอง 3 ฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอผักไห่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารและดูแลรักษาเอกสารเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร จำเลยทั้งสองได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 กับพวกที่หลบหนีอีก 2 คนร่วมกันให้ทรัพย์สินเป็นเงินประมาณ 20,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 เพื่อจูงใจให้จำเลยที่ 1 กระทำการปลอมเอกสารราชการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎรและออกใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลยที่ 2 กับพวกซึ่งเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้เรียกรับเงินจำนวนประมาณ 20,000 บาท จากจำเลยที่ 2กับพวกเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อจะได้กระทำการปลอมเอกสารราชการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร และออกใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลยที่ 2 กับพวก เมื่อระหว่างวันที่13 ธันวาคม 2531 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2531 เวลากลางวันติดต่อกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 เป็นตัวการและจำเลยที่ 2กับพวกที่หลบหนีอีก 2 คน เป็นผู้สมรู้สนับสนุน กระทำการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตของจำเลยที่ 1 และกระทำการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 2 กับพวกที่หลบหนีได้นำเอกสารใบแจ้งย้ายที่อยู่ของนายกำธร แซ่โง้วมาให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการรับแจ้งย้ายทะเบียนบ้านของนายกำธรแซ่โง้ว ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 22/3 หมู่ที่ 1ตำบลดอนลาน อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 จัดทำสูติบัตรมีชื่อของเด็กหญิงสุภาภรณ์ แซ่มู่ปลอมขึ้นใหม่ทั้งฉบับ จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เพิ่มชื่อของนางสาวสุภาภรณ์ แซ่มู่ เข้าอยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 4ตำบลผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วจำเลยที่ 1ได้ปลอมลายมือชื่อพร้อมทั้งประทับตรายางชื่อและตำแหน่งของนายสาธิตอิศรางกูร ณ อยุธยา หัวหน้าฝ่ายทะเบียนและบัตรของอำเภอผักไห่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงในช่องนายทะเบียนในเอกสารสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 22/3 หมู่ที่ 1 และสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 4ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว และกระทำการปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนจำนวน 2 ฉบับ ให้แก่นายกำธร แซ่โง้ว และนางสาวสุภาภรณ์ แซ่มู่โดยจำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อพร้อมทั้งประทับตรายางชื่อและตำแหน่งของนายสาธิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ลงในช่องพนักงานเจ้าหน้าที่ในใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นทั้ง 2 ฉบับมอบให้แก่จำเลยที่ 2 กับพวกรับไป เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยทั้งสองกับพวกเป็นตัวการและร่วมสมรู้สนับสนุนในการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารสำเนาทะเบียนบ้าน และใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของนายกำธร แซ่โง้ว และนางสาวสุภาภรณ์ แซ่มู่ ที่ปลอมขึ้นเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสาธิตอิศรางกูร ณ อยุธยา นายอำเภอผักไห่ กรมการปกครอง ผู้อื่นและประชาชน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2กับพวกที่หลบหนีอีก 2 คน ร่วมกันนำใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของนางสาวสุภาภรณ์ แซ่มู่ ที่ทำปลอมขึ้นไปใช้และอ้างต่อนายบุญไทย วิชาโคตร เจ้าหน้าที่การทูต 5 กองหนังสือเดินทางกระทรวงการต่างประเทศ ว่าเป็นใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนฉบับที่แท้จริงของหญิงที่อ้างชื่อว่า นางสาวสุภาภรณ์ แซ่มู่เพื่อจะขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ และเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 กับพวกที่หลบหนีอีก 2 คน ร่วมกันนำใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของนายกำธร แซ่โง้ว ที่ทำปลอมขึ้นไปใช้และอ้างต่อนายบุญไทย วิชาโคตร ว่าเป็นใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนฉบับที่แท้จริงของชายที่อ้างชื่อว่านายกำธร แซ่โง้ว เพื่อจะขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศเช่นกันทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายบุญไทย วิชาโคตรนายสาธิต อิศรางกูร ณ อยุธยา กระทรวงการต่างประเทศ จำเลยที่ 1เป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 648/2534ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86,91, 144, 149, 157, 161, 264, 265, 266 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 648/2534 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 161, 264 วรรคแรก, 265, 266(1)การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสาม จำคุก 4 ปี นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 648/2534 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 161, 264 วรรคแรก, 265, 266(1) ประกอบมาตรา 86การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า แม้หากจำเลยที่ 2ได้มอบใบแจ้งย้ายเข้าของนายกำธรให้จำเลยที่ 1 ไปแก้ไขข้อความการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1กระทำความผิด และปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจ่าสิบเอกอุทัยตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้การว่า จ่าสิบเอกอุทัยรับซองเอกสารซึ่งบรรจุธนบัตรประมาณ 20,000 บาท จากจำเลยที่ 2 มามอบให้จำเลยที่ 1แต่ศาลอุทธรณ์กลับรับฟังข้อเท็จจริงว่าในซองเอกสารที่จำเลยที่ 2ให้จ่าสิบเอกอุทัยไปมอบให้จำเลยที่ 1 ต้องเป็นเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อนายกำธร และนางสาวสุภาภรณ์จากเขตดุสิตท้องที่ที่จำเลยที่ 2 ทำงานอยู่ไปเข้าทะเบียนบ้านที่อำเภอผักไห่ ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานนั้น เห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ 2 เพียงแต่หยิบยกพยานหลักฐานบางส่วนในสำนวนขึ้นเป็นข้อฎีกา แต่ในการรับฟังพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่าง ๆในสำนวนประกอบการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 2 และในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์นั้นก็หาได้นอกเหนือหรือคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใดไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฎีกาจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อนายกำธรและนางสาวสุภาภรณ์ให้จ่าสิบเอกอุทัยไปมอบให้จำเลยที่ 1เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการเกี่ยวกับการรับแจ้งย้ายทะเบียนบ้านของนายกำธรให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 22/3 หมู่ที่ 1ตำบลดอนลาน อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเพิ่มชื่อนางสาวสุภาภรณ์เข้าอยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 4อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายกำธร และนางสาวสุภาภรณ์ ดังนั้นแม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดดังกล่าวกับจำเลยที่ 1แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้วการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1กระทำความผิด ส่วนฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 สถานเบาและรอการลงโทษนั้นเป็นฎีกาดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการเท่านั้นมิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ ทั้งศาลอุทธรณ์ก็ฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ปลอมเอกสารราชการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรแต่ศาลอุทธรณ์ก็มิได้ปรับบทแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขปรับบทลงโทษแก่จำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องและให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ อนึ่ง เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 161, 265 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 161, 265 ประกอบมาตรา 86 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share