คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5350/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดอันเป็นทางได้มานั้นเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย การขายทอดตลาดในคดีนี้เป็นไปโดยมิชอบ เพราะมิได้มีการส่งคำสั่งศาลและวันขายทอดตลาดให้โจทก์ทราบโดยชอบเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 296 วรรคสาม และต่อมาศาลก็ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวแล้ว ผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่มีการขายทอดตลาดมาแต่แรก ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้และได้โอนขายต่อไปให้แก่จำเลยที่ 2จนถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ว่าจำเลยทั้งสี่จะซื้อมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม จำเลยทั้งสี่ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสี่ออกจากโฉนดที่ดินได้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลคำสั่งของศาลที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีอำนาจขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กรณีมิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลผูกพันหรือไม่ผูกพันบุคคลภายนอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10455 ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 1 ประมูลซื้อได้ในราคาสูงสุดและจดทะเบียนรับโอนมาแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการถอนการจดทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์จากชื่อจำเลยทั้งสี่แล้วใส่ชื่อโจทก์ตามเดิมหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดของศาลและจดทะเบียนรับโอนมาโดยสุจริตจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2ก็จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งต่างจดทะเบียนรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต อันเป็นระยะเวลาก่อนที่ศาลจังหวัดสมุทรสาครจะมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด คำสั่งของศาลจังหวัดสมุทรสาครจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ทั้งไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 เพราะมิได้เป็นคู่ความด้วย โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10455 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสี่ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10455 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางไทร (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ดินดังกล่าวถูกศาลจังหวัดสมุทรสาครยึดและขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 304/2531 ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร โดยศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นผู้บังคับคดีแทน จำเลยที่ 1เป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงนี้ได้ ต่อมาวันที่ 9 มกราคม 2533 จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2533จำเลยที่ 2 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 แต่เนื่องจากการแจ้งคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดให้โจทก์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนั้น) ทราบเป็นไปโดยมิชอบ โจทก์จึงคัดค้านและต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2534 ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาด คำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดโจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจากชื่อจำเลยทั้งสี่เป็นชื่อโจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และระหว่างจำเลยทั้งสี่ได้หรือไม่ จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าจำเลยทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ทั้งเป็นการซื้อก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดด้วยคำสั่งของศาลที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงไม่มีผลกระทบถึงจำเลยทั้งสี่ปัญหาข้อนี้เห็นว่า การซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดอันเป็นทางได้มานั้นเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบ เพราะมิได้มีการส่งคำสั่งศาลและวันขายทอดตลาดให้โจทก์ทราบโดยชอบ อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 296 วรรคสามและต่อมาศาลก็ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวแล้วผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่มีการขายทอดตลาดมาแต่แรก ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้ และได้โอนขายต่อไปให้แก่จำเลยที่ 2 จนถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ว่าจำเลยทั้งสี่จะซื้อมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม จำเลยทั้งสี่ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสี่ออกจากโฉนดที่ดินได้
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดสมุทรสาครไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4เพราะเป็นบุคคลภายนอก และได้ซื้อที่ดินพิพาทมาก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล คำสั่งของศาลที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีอำนาจขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 หาใช่กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลผูกพันหรือไม่ผูกพันบุคคลภายนอกดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอย่างใดไม่
พิพากษายืน

Share