แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อ. ยิงตำรวจตายเพื่อจะหลบหนีจากห้องขังของศาลจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตำรวจกับพวกได้ล้อมห้องขังไว้ ขณะนั้นมีผู้ต้องขังอยู่ในห้องขังรวม 6 คน ประตูห้องขังเปิดไม่ได้ อ. ก็ไม่ได้ยิงจำเลยที่ 1 กับพวกอีกจำเลยที่ 1 เอาปืนยิงเข้าไปในห้องขังเพื่อให้ถูก อ. แต่กระสุนพลาดไปถูก ร. ผู้ต้องขังอีกคนหนึ่งถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่วิธีหรือความป้องกันเท่าที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่องในการจับผู้พยายามจะหลบหนีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรค 2 คดีไม่มีเหตุที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดได้ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
โจทก์ซึ่งเป็นมารดา ร. ได้ถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ค่าขาดไร้อุปการะที่โจทก์ควรจะได้จึงคิดให้นับแต่วันที่ ร. ถึงแก่ความตายไปจนถึงวันที่โจทก์ถึงแก่ความตายเท่านั้น ไม่ใช่กำหนดให้ 10 ปี ตามที่โจทก์ขอมาแต่เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 ทราบว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีออกจากห้องขังของศาลจังหวัดนนทบุรีและได้ยิงจ่าสิบตำรวจกลั่น นาคประดิษฐ์ ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 กับตำรวจอีก 4-5 คน จึงไปที่นั่น จำเลยที่ 1 ได้ยิงปืนเข้าไปในห้องขังเพื่อให้ถูกนายอินทร์ศรีทับทิมซึ่งอยู่ในห้องขัง แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนายเริงฤทธิ์ เลี่ยมอยู่ บุตรโจทก์ซึ่งถูกขังรวมอยู่ในห้องขังนั้น เป็นเหตุให้นายเริงฤทธิ์ถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 250,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อป้องกันตัว กระสุนพลาดไปถูกผู้ตายทั้ง ๆ ที่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว เพราะผู้ตายไม่หมอบหลบจึงไม่ต้องรับผิด และว่าค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกสูงเกินไป
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยลำพังตามอำนาจหน้าที่เฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 เอง และนอกเหนือจากทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ยิงปืนเข้าไปในห้องขังเพื่อป้องกันมิให้นายอินทร์หลบหนี เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย กระสุนปืนพลาดไปถูกผู้ตาย ถือไม่ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กับพวกยิงปืนเข้าไปในห้องขังทั้ง ๆที่มีผู้ต้องขังอื่นรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก โดยฝ่ายผู้จะถูกจับไม่ได้ยิงต่อสู้ไม่เข้าลักษณะป้องกัน และจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบไม่ได้ พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 95,000 บาท
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าจำเลยที่ 1 ยิงปืนเข้าไปในห้องขังของศาลจังหวัดนนทบุรี ทั้ง ๆ ที่เห็นแล้วว่าในห้องขังมีผู้ต้องขังอื่นรวมอยู่ด้วยหลายคน รวม 6 คน ซึ่งอาจเห็นผลได้ว่า กระสุนปืนอาจพลาดไปถูกผู้ต้องขังอื่นที่อยู่ในห้องขังได้ง่าย เพราะอยู่ในที่จำกัดและคับแคบ รอบ ๆ ห้องขังเป็นกำแพงคอนกรีตมีทางออกทางเดียวคือทางประตูห้องขัง เป็นประตูลูกกรงเหล็กบานประตูเปิดเข้าข้างใน มีศพของจ่าสิบตำรวจกลั่น นาคประดิษฐ์ นอนขวางประตูอยู่ด้านในไม่สามารถจะเปิดออกไปได้ ซึ่งจำเลยนำสืบรับในข้อนี้ ทันทีจำเลยที่ 1 ยิงปืนเข้าไปในห้องขังปรากฏว่ามีเสียงปืนภายนอกยิงเข้าไป 11-12 นัด แสดงว่ามีตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว นายอินทร์เบิกความว่าถ้าตำรวจไม่ยิงเข้ามา ตนก็ไม่สามารถจะหลบหนี เพราะประตูเปิดไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวลำพังแต่ตำรวจล้อมไว้เท่านั้นนายอินทร์ก็ไม่มีทางหนีออกไปได้อยู่แล้ว ไม่น่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องขังซึ่งมีผู้ต้องขังอื่นรวมอยู่ด้วยเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่วิธีหรือความป้องกันเท่าที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่องในการจับผู้พยายามจะหลบหนีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างว่านายอินทร์ยิงจำเลยที่ 1 หนึ่งนัด แต่ไม่ถูกขณะจะยิงซ้ำจำเลยที่ 1 จึงยิงไป2 นัดเพื่อป้องกันตัวนั้น ปรากฏว่าปืนของนายอินทร์เป็นปืนลูกซองพกใช้ยิงได้ทีละนัดเท่านั้น ร้อยตำรวจเอกสมชาติ ศรีสุวรรณ พยานจำเลยว่าปืนของนายอินทร์ยาวจากนกปืนถึงปากกระบอกประมาณ 10 นิ้ว ยิงแล้วต้องหักลำกล้องบรรจุกระสุนใหม่ ประกอบทั้งนายอินทร์ได้เบิกความว่าตนยิงไปเพียงนัดเดียวคือนัดที่ยิงจ่าสิบตำรวจกลั่นเท่านั้น เพราะไม่สามารถบรรจุกระสุนใหม่ได้ อีกประการหนึ่งหากนายอินทร์ยิงต่อสู้ก็น่าจะมีร่องรอยกระสุนปืนให้เห็นบ้าง เพราะขณะยิงจำเลยที่ 1 แอบอยู่ที่เสาระเบียงห้องขังข้างห้องพิจารณาหากนายอินทร์ยิงพลาด กระสุนก็น่าจะถูกเสาระเบียงหรือห้องพิจารณา แต่ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยกระสุนปืนใกล้ ๆ กับที่จำเลยที่ 1 ยืนอยู่เลย ไม่เชื่อว่านายอินทร์จะยิงจำเลยที่ 1 นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วยังปรากฏจากหลักฐานตามสมุดบัญชียึดและรักษาทรัพย์ของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรีที่โจทก์อ้างส่งศาล ว่ามีการแก้ตัวเลขที่ลงไว้ในตอนแรกว่ามีกระสุนปืนลูกซองจำนวน 2 นัด (ยังไม่ได้ยิง) ลบเลข 2 ออกแล้วเขียนเลข 1 แทน ปลอกกระสุนปืนลูกซองยิงแล้ว 1 ปลอกแก้เป็น 2 ปลอก มีพฤติการณ์ส่อพิรุธ ด้วยเหตุดังวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ประกอบด้วยเหตุผลมั่นคง ฟังได้ว่านายอินทร์ใช้อาวุธปืนยิงเพียงนัดเดียวคือยิงจ่าสิบตำรวจกลั่น นาคประดิษฐ์ จากการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ยิงปืนเข้าไปในห้องขังทั้ง ๆ ที่เห็นอย่างแน่ชัดแล้วว่ามีผู้ต้องขังอื่นรวมอยู่ด้วยในห้องขังหลายคน กระสุนปืนอาจพลาดไปถูกผู้ต้องขังอื่นได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้นายเริงฤทธิ์ผู้ต้องขังคนหนึ่งถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย คดีไม่มีเหตุที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดได้ จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่โจทก์ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์ปีละ 8,000 บาท นั้นเป็นการสมควร แต่เนื่องด้วยระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ปรากฏว่านางผัน เลี่ยมอยู่ โจทก์ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยใช้เป็นค่าขาดไร้อุปการะในเวลาอนาคต 10 ปี จึงเห็นสมควรกำหนดเวลาเสียใหม่ โดยให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์ถึงวันที่โจทก์ถึงแก่กรรม คือวันที่ 11 มีนาคม 2519 (ตามสำเนาใบมรณะบัตรในสำนวนลำดับที่ 191) นับตั้งแต่นายเริงฤทธิ์ตาย ถึงวันโจทก์ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 5 ปี 1 เดือน 18 วัน เป็นเงิน 41,067 บาท ส่วนค่าปลงศพผู้ตายที่โจทก์อ้างว่าจ่ายจริงเกินกว่า 20,000 บาท แต่ขอมาเพียง 20,000 บาท ขอให้ศาลกำหนดค่าทำศพให้เท่าที่ขอนั้น พิเคราะห์แล้วโจทก์ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินมาแสดง เมื่อคำนึงถึงรายได้และฐานะของผู้ตายแล้ว เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทำศพให้เป็นเงิน 15,000 บาทเป็นการเหมาะสมแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้ เป็นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงิน 56,067 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ