แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทโจทก์ผลิตอาหารและไอสครีมจำหน่าย นำไขมัน แป้งหางนม ฯลฯ ถ้วยไอสครีมถุงกระดาษ ไม้เสียบ กล่องนม ฯลฯเข้ามาใช้ในการผลิตโดยเฉพาะ ไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล โจทก์เรียกเงินที่ชำระค่าภาษีไปคืนได้ไม่ใช่ลาภมิควรได้
ย่อยาว
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยแก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนฟ้องตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ประกอบกิจการค้าผลิตนมและไอศครีมจำหน่าย ในการนี้โจทก์ได้สั่งสินค้าหลายอย่างมาจากต่างประเทศ เช่นกล่องกระดาษ ถ้วยกระดาษ ช้อนไอสครีมถุงใส่ไอสครีมแท่ง ไม้เสียบไอสครีมแท่ง ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุนม ไขมันแป้ง โกโก้ เกลือ สตรอเบอร์รี่กระป๋อง สีผสมอาหารเป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตนมและไอสครีมของโจทก์ทั้งสิ้น กรณีที่เกิดพิพาทในคดีก็คือระหว่าง พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2514 โจทก์ได้นำสินค้าต่าง ๆ ดังกล่าวปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.2 เข้ามาในราชอาณาจักรและโจทก์ได้ชำระเงินค่าภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลตามที่จำเลยได้เรียกเก็บให้แก่กรมศุลกากร ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยไปแล้วตั้งแต่ตอนนำสินค้าเข้ามาในประเทศไทย ปรากฏตามใบขนสินค้าและใบเสร็จรับเงินค่าภาษี เอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.10 รวมเป็นจำนวนเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลทั้งสิ้น 5,742,815 บาท 93 สตางค์ ต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2512 ระหว่างบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร กับพวก จำเลยวินิจฉัยว่าสินค้าที่มิใช่สินค้าสำเร็จรูปซึ่งนำเข้ามาผลิตเพื่อขายเป็นสินค้าอื่น มิใช่สั่งเข้ามาเพื่อขายให้แก่ผู้อื่นไม่ต้องชำระภาษีการค้าในขณะนำเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์จึงมีหนังสือขอคืนค่าภาษีดังกล่าวจากจำเลย และได้มีหนังสือเตือนอีก 2 ฉบับ แต่จำเลยก็ยังมิได้คืนเงินให้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรแม้จะเรียกเก็บภาษีการค้าแทนจำเลย แต่ก็หาใช่เป็นการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ไม่ โจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ที่จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนฟ้อง ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 869/2520 ระหว่าง บริษัทเสริมสุข จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย โจทก์จึงมีสิทธินำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลและมีอำนาจฟ้องจำเลยได้คำแก้ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงตกไป
ส่วนปัญหาที่ว่า สินค้าต่าง ๆ ที่โจทก์นำเข้ามาดังกล่าวจะต้องเสียภาษีการค้าหรือไม่นั้น จำเลยแก้ฎีกาว่า กรณีที่โจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์มีหน้าที่ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลในฐานะผู้นำเข้า และเมื่อโจทก์นำสินค้าดังกล่าวไปผลิตออกจำหน่าย และมีรายรับเมื่อใดโจทก์ก็ต้องชำระภาษีในฐานะผู้ผลิตอีกครั้งหนึ่ง เป็นการชำระภาษีต่างฐานะกันนั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ทางพิจารณาได้ความว่าบริษัทโจทก์ประกอบกิจการค้าผลิตอาหารนมและไอสครีมจำหน่าย ในการผลิตต้องใช้วัตถุดิบซึ่งจำเป็นต้องสั่งวัตถุและของต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้ามาจากต่างประเทศพยานโจทก์มีนายบุญสม เทียนประทุม ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนายประสาน ศิลาวรรณ ผู้จัดการฝ่ายผลิตของบริษัทโจทก์เบิกความยืนยันว่า รายการชื่อสินค้าต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.2ตั้งแต่แผ่นที่ 2 ถึง แผ่นที่ 34 ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ในการผลิตอาหารนมและไอสครีมของบริษัทโจทก์ทั้งสิ้น บริษัทโจทก์ไม่เคยนำไปใช้อย่างอื่นหรือนำไปขายแต่อย่างใด ซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านในเรื่องนี้ จึงเชื่อว่าเป็นความจริงเช่นนั้น นอกจากนี้ที่นายกมล ช่วงรังษี พยานจำเลยเบิกความว่าสินค้าที่นำเข้าหลังจากเสียภาษีแล้วโจทก์จะนำไปจำหน่ายอย่างไรก็ได้นั้นก็เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังได้ดังกล่าวและตามข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำไปจำหน่ายหรือใช้ในกิจการอื่นนอกจากการผลิตอาหารนมและไอสครีม เนื่องจากโจทก์ประกอบกิจการค้าอาหารนมและไอสครีมใช้ชื่อว่าบริษัทโฟร์โมสต์อาหารนม (กรุงเทพฯ) จำกัดศาลฎีกาได้ตรวจสอบและพิจารณาดูรายการสินค้าต่าง ๆ ตามเอกสาร จ.2ซึ่งเป็นสินค้าที่โจทก์สั่งเข้ามาจากต่างประเทศได้แก่ไขมันเนย แป้งหางนมแป้งนมไม่มีไขมัน โกโก้ เกลือ สตรอเบอร์รี่ ตลอดจนกล่องไอสครีม ถ้วยพลาสติกช้อนไม้ตักไอสครีม ถุงกระดาษใส่ไอสครีม ฝากระดาษปิดและกระดาษหุ้มหัวขวดนม ไม้เสียบไอสครีม กล่องนมและรายการอื่น ๆ อีกหลายรายการแล้วเห็นว่าล้วนแต่เป็นวัตถุที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตอาหารนมและไอสครีมทั้งสิ้น แม้บางรายการเช่นถ้วยพลาสติก กล่องกระดาษ ถุงพลาสติกใส่นมและไอสครีม จะเป็นวัตถุสำเร็จรูป แต่ก็จำเป็นแก่การผลิต เพราะอาหารนมและไอสครีมหากไม่มีภาชนะเหล่านี้ใส่แล้วก็ย่อมไม่สามารถจะนำไปจำหน่ายได้ และสิ่งของเหล่านี้ยังมีตรายี่ห้อโฟรโมสต์ของบริษัทโจทก์ติดมาด้วยโดยเรียบร้อย ผู้อื่นจะเอาไปใช้ไม่ได้ จึงถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบในการผลิตและเป็นวัตถุที่สั่งเข้ามาใช้เพื่อผลิตอาหารนมและไอสครีมของบริษัทโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าวัตถุและสิ่งของตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์สั่งเข้ามาก็เพื่อใช้ในการผลิตอาหารนมและไอสครีมของบริษัทโจทก์เอง โจทก์จึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 869/2520 ระหว่างบริษัทเสริมสุข จำกัด โจทก์กรมสรรพากร จำเลย และกรณีนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบและสิ่งของดังกล่าว ก็จะถือว่าการนำวัตถุและสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เข้ามาสำหรับการผลิตอาหารนมและไอสครีม เป็นการขายสินค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 2807/2515 ระหว่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด โจทก์ กรมศุลกากรกับพวก จำเลย เหตุนี้โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่โจทก์ชำระให้จำเลยไปแล้วคืนได้
ส่วนปัญหาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 หรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาว่าการฟ้องเรียกภาษีคืนจากจำเลยในคดีนี้ มิใช่เป็นการเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้แต่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลรัษฎากร ซึ่งจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 หรือ 164 ซึ่งกำหนดอายุความไว้ 10 ปี และให้เริ่มนับอายุความนับแต่ขณะแรกที่อาจเรียกภาษีคืนได้เป็นต้นไปนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยวางไว้ และจำเลยก็ให้การและโต้แย้งตลอดมาว่าโจทก์ต้องเสียภาษีการค้าดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จำเลยได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ฉะนั้นการฟ้องเรียกภาษีคืนในคดีนี้จึงมิใช่การฟ้องเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้อันอยู่ในบังคับจะใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 869/2520 ระหว่างบริษัทเสริมสุข จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงิน 5,742,815.93 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้อง”