แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้วย่อมเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่สำเนาคำฟ้องของโจทก์ที่ส่งให้จำเลย ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนหรือพิมพ์แทนที่จะลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงและพิมพ์ หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญไม่ ส่วนที่ทนายโจทก์ไม่ได้ระบุเลขที่ใบอนุญาตว่าความไว้ในคำฟ้องและสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้จำเลยก็อาจจะเนื่องจากความหลงลืม แต่อย่างไรก็ตามทนายโจทก์ก็ได้ยื่นใบแต่งทนายความซึ่งระบุเลขใบอนุญาตของตนไว้ต่อศาลขณะยื่นคำฟ้อง ซึ่งจำเลยสามารถที่จะตรวจสอบความสามารถและอำนาจในการดำเนินคดีของทนายโจทก์ได้อยู่แล้ว หาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลับกลายเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายไม่
ส. โอนขายที่ดินมีโฉนดอันเป็นที่ดินแปลงเดิมให้บริษัท บ. เมื่อปี 2519 ขณะที่โอนที่ดินแปลงเดิมไปมีที่งอกริมตลิ่งเกิดขึ้นแล้ว เพราะ ส. ขอออกโฉนดที่งอกตั้งแต่ปี 2516 แต่ยังไม่เป็นที่ยุติว่ามีส่วนที่เป็นที่งอกมากน้อยเพียงใด เพราะการออกโฉนดยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ และไม่เคยมีการบันทึกในโฉนดเดิมไว้ให้ปรากฏการเกิดมีที่งอกขึ้นมาในที่ดินย่อมจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 เมื่อที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกได้โอนให้บริษัท บ. ไปแล้ว ที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกย่อมตกติดไปเป็นของผู้ซื้อโดยผลของบทกฎหมายดังกล่าว ส. พ้นจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ แม้ว่า ส. จะได้ขอออกโฉนดที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกค้างไว้ แล้วต่อมาในปี2522 ได้มีการออกโฉนดสำเร็จบริบูรณ์เป็นชื่อของ ส. ก็ไม่ทำให้ ส. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกนั้นไป และไม่มีอำนาจที่จะขายที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกให้โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่า ส. และเมื่อจำเลยรับโอนที่ดินจาก ส. อันเป็นที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งจากเจ้าของเดิมมาโดยถูกต้อง ย่อมทำให้ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้นด้วยโดยผลของกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29730 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 66 ตารางวาโดยซื้อมาจากพันตำรวจโทสมิต บุราวาศ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2538 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา(บางรัก) กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือหลังจากซื้อที่ดินมาแล้วโจทก์ได้จ้างให้ช่างเอกชนรังวัดที่ดินพบว่าจำเลยและบริวารสร้างรั้วถาวรครอบคลุมที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง โดยจำเลยสร้างรั้วต่อจากบริเวณที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์มาถึงบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดที่ดินของโจทก์อีกด้านหนึ่ง ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะโจทก์สามารถทำที่ดินของโจทก์เป็นท่าเทียบจอดเรือหรือให้อู่ซ่อมเรือของบริษัทอู่เรือวังเจ้า จำกัด เช่าหาผลประโยชน์ได้โดยจะได้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 200,000 บาท แต่โจทก์ขอเรียกร้องค่าเสียหายเพียงเดือนละ 100,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้ว
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเพราะโจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ไม่มีค่าตอบแทนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะลงลายมือชื่อของผู้เรียงและพิมพ์และไม่ได้ระบุเลขที่ใบอนุญาตของทนายความ ทำให้จำเลยไม่อาจตรวจสอบความสามารถและอำนาจของโจทก์หรือตัวแทนโจทก์ได้ ทั้งคำฟ้องกับสำเนาคำฟ้องที่โจทก์นำส่งให้แก่จำเลยก็ไม่ตรงกัน จำเลยได้รับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทจากพันตำรวจโทสมิต บุราวาศ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและครอบครองด้วยตนเองรวมเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว การที่โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากพันตำรวจโทสมิตจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริต โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 16 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 29730 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา(บางรัก) กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 122 ตารางวา ซึ่งมีอาณาเขตด้านทิศใต้จดแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นกรรมสิทธิ์ของพันตำรวจโทสมิต บุศราวาศ และพันตำรวจโทสมิตได้ขอออกโฉนดที่ดินที่เป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินดังกล่าวในปี 2516 ต่อมาพันตำรวจโทสมิตขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 ให้บริษัทบางกอกชิปบิลดิ้ง แอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ในปี 2519 แล้วในปี2522 เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดเลขที่ 29730 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของที่ดินซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่ง เนื้อที่ 66ตารางวา ให้พันตำรวจโทสมิต หลังจากนั้นบริษัทบางกอกชิปบิลดิ้ง แอนด์เอ็นจิเนียริ่งจำกัด ถูกเจ้าหนี้ฟ้องและยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 ขายทอดตลาด นายสุธน ชื่นสมจิตต์เป็นผู้ซื้อได้ นายสุธนรับโอนกรรมสิทธิ์ไปเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2530 แล้วโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 ให้จำเลยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2531 หลังจากนั้นพันตำรวจโทสมิตโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 29730 เนื้อที่ 66 ตารางวา อันเป็นที่งอกริมตลิ่งให้โจทก์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2538 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ตามสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้แก่จำเลย ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนหรือพิมพ์แตกต่างจากในคำฟ้องที่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เรียงและพิมพ์ ทั้งทนายโจทก์ไม่ได้ระบุเลขที่ใบอนุญาตของทนายความไว้ในคำฟ้องและสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้แก่จำเลยทำให้จำเลยไม่อาจตรวจสอบความสามารถและอำนาจของทนายโจทก์ได้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์นั้น เห็นว่า เมื่อคำฟ้องของโจทก์มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ย่อมเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายการที่สำเนาคำฟ้องของโจทก์ที่ส่งให้จำเลยทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนหรือพิมพ์แทนที่จะลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงและพิมพ์ก็น่าจะเป็นเรื่องของความผิดพลาดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่ทนายโจทก์ไม่ได้ระบุเลขที่ใบอนุญาตว่าความไว้ในคำฟ้องและสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้จำเลยก็อาจจะเนื่องจากความหลงลืม แต่อย่างไรก็ตามทนายโจทก์ก็ได้ยื่นใบแต่งทนายความซึ่งระบุเลขใบอนุญาตของตนไว้ต่อศาลขณะยื่นคำฟ้อง ซึ่งจำเลยสามารถที่จะตรวจสอบความสามารถและอำนาจในการดำเนินคดีของทนายโจทก์ได้อยู่แล้ว จากกรณีดังกล่าว หาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลับกลายเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ สำหรับเรื่องรับโอนโดยเสียค่าตอบแทนหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงหน้าที่นำสืบตกอยู่กับโจทก์ เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นชัดเจนไม่ได้ข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นนี้ไว้ชัดเจนว่า โจทก์เป็นผู้มีชื่อในทะเบียนจึงได้รับประโยชน์จากเป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยและเนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญกว่าทุกประเด็น จึงให้จำเลยนำสืบก่อนทั้งหมดแล้วให้โจทก์นำสืบแก้ เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบไม่ได้ ในข้อที่ว่าโจทก์สุจริต และเสียค่าตอบแทนหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พันตำรวจโทสมิตโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 อันเป็นที่ดินแปลงเดิมที่เกิดที่งอกให้แก่บริษัทบางกอกชิปบิลดิ้ง แอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เมื่อปี 2519 ตั้งแต่ยังไม่ได้รับโฉนดที่งอกที่ขอออกไว้ ขณะที่โอนที่ดินแปลงเดิมไปนั้น ที่งอกริมตลิ่งเริ่มเกิดมีขึ้นแล้ว เพราะพันตำรวจโทสมิตขอออกโฉนดที่งอกตั้งแต่ปี 2516 แต่ยังไม่เป็นที่ยุติว่ามีส่วนที่เป็นที่งอกมากน้อยเพียงใด เพราะการออกโฉนดสำหรับส่วนที่เป็นที่งอกโดยเฉพาะยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ และไม่เคยมีการบันทึกในโฉนดเดิมไว้ให้ปรากฏ การเกิดมีที่งอกขึ้นมาในที่ดินย่อมจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ที่บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น” เมื่อที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกได้โอนให้บริษัทบางกอกชิปบิลดิ้ง แอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ไปแล้วในระหว่างนี้ด้วยความสมัครใจของพันตำรวจโทสมิตเอง ที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกย่อมตกติดไปเป็นของผู้ซื้อ โดยผลของบทกฎหมายดังกล่าว พันตำรวจโทสมิตพ้นจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ ทั้งที่ดินแปลงเดิมที่เกิดมีที่งอก และที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกไปจนหมดสิ้นแม้ว่าพันตำรวจโทสมิตจะได้ขอออกโฉนดที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกค้างไว้แล้วต่อมาในปี 2522 ได้มีการออกโฉนดสำเร็จบริบูรณ์เป็นชื่อของพันตำรวจโทสมิต ก็ไม่ทำให้พันตำรวจโทสมิตได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกนั้นไป และไม่มีอำนาจที่จะขายที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกให้โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่าพันตำรวจโทสมิตผู้โอน และเมื่อจำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10734 อันเป็นที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งจากเจ้าของเดิมมาโดยถูกต้อง ทำให้ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้นด้วยโดยผลของกฎหมาย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์สุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงและประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยในที่งอกดังกล่าว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นที่ดินของตนเอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์