แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยรู้จักกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดย พ. สามีโจทก์เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยมาก่อน และก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยและ ว. ซึ่งเป็นภริยาจำเลยได้ตกลงซื้อกิจการท่าทรายจากบริษัท ส. โดยมี ฉ. กรรมการผู้มีอำนาจในราคา16,000,000 บาท โดยจำเลยและ ว. วางมัดจำไว้ 500,000 บาท ที่เหลือจำเลยและว. สั่งจ่ายเช็คจำนวน 14 ฉบับให้แก่ ส. เพื่อชำระหนี้ ต่อมาเช็คฉบับเดือนตุลาคม2538 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ฉ. จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยและ ว. โดยมอบอำนาจให้โจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวเป็นผู้ชี้ตัวและดำเนินคดีแก่จำเลยและ ว. ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยและ ว. เจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ในที่เกิดเหตุเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ซึ่งมีการร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว จึงสามารถทำได้ตามกฎหมายและขณะที่โจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งจำเลยใช้เป็นที่ทำการและที่อยู่อาศัยเพื่อชี้ตัวจำเลยและ ว. ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยก็มิได้ห้ามโจทก์ไม่ให้เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์และมิได้ขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว นอกจากนี้ก่อนที่พันตำรวจตรี ส. จะรับแจ้งความจากจำเลย พันตำรวจตรี ส. ได้ชี้แจงให้จำเลยทราบแล้วว่าโจทก์ไม่มีเจตนาบุกรุกเพราะโจทก์ไปกับเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่แต่จำเลยไม่ยอมจะขอแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ให้ได้ ข้อความที่จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนเป็นการยืนยันว่าโจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยและ ว. โดยไม่มีสิทธิและไม่มีเหตุอันสมควรเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุกซึ่งไม่เป็นความจริงและข้อความที่แจ้งนี้หาใช่เป็นเพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของจำเลยโดยสุจริตไม่จำเลยจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174,310 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173 และ 174 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าวส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคหนึ่ง ให้ยกฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174วรรคสอง (ที่ถูกมาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา 174 วรรคสอง) จำคุก 1 ปี ปรับ 8,000บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยรู้จักกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยพันตำรวจโทหม่อมหลวงพิศิษฐ์ วัชรีวงศ์ สามีโจทก์ เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยมาก่อน และก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยและนางสาววราพรเทอมแพงพันธ์ ซึ่งเป็นภริยาจำเลยได้ตกลงซื้อกิจการท่าทรายจากบริษัทสุมะโน แชนด์โปร์ดัคส์ จำกัด โดยมีนายเฉลิมพล ติรณพันธ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในราคา 16,000,000 บาท โดยจำเลยและนางสาววราพรวางมัดจำไว้ 500,000 บาท ที่เหลือจำเลยและนางสาววราพรสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานเหลืองจำนวน 14 ฉบับให้แก่บริษัทฯ เพื่อชำระหนี้ ต่อมาเช็คฉบับเดือนตุลาคม 2538 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายเฉลิมพลจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยและนางสาววราพร โดยมอบอำนาจให้โจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวเป็นผู้ชี้ตัวและดำเนินคดีแก่จำเลยและนางสาววราพร ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยและนางสาววราพรเจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ในที่เกิดเหตุเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งมีการร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว จึงสามารถทำได้ตามกฎหมายและขณะที่โจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจำเลยใช้เป็นที่ทำการและที่อยู่อาศัยเพื่อชี้ตัวจำเลยและนางสาววราพรให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยก็มิได้ห้ามโจทก์ไม่ให้เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ และมิได้ขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว นอกจากนี้ก่อนที่พันตำรวจตรีเสนาะ วรวงศ์สุจริต จะรับแจ้งความจากจำเลยพันตำรวจตรีเสนาะได้ชี้แจงให้จำเลยทราบแล้วว่า โจทก์ไม่มีเจตนาบุกรุกเพราะโจทก์ไปกับเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่ แต่จำเลยไม่ยอมจะขอแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ให้ได้ ข้อความที่จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนเป็นการยืนยันว่าโจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยและนางสาววราพรโดยไม่มีสิทธิและไม่มีเหตุอันสมควรเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุกซึ่งไม่เป็นความจริง และข้อความที่แจ้งนี้หาใช่เป็นเพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของจำเลยโดยสุจริตไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าไม่มีความผิด ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น