แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีคำเสนอขายข้าวสาร จำนวน 20,000 เมตริกตัน ส่งมอบเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2537 ไปยังโจทก์ โจทก์ตกลงให้จำเลยเป็นผู้ส่งข้าว คำเสนอและคำสนองดังกล่าวจึงถูกต้องตรงกัน ย่อมก่อให้เกิดสัญญาแล้ว แต่เมื่อจำเลยมีหนังสือขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระราคาและเสนอราคาใหม่ไปยังโจทก์ ถือว่าเป็นคำเสนอใหม่ โจทก์ตอบตกลงซื้อข้าวตามราคาที่เสนอมาใหม่และให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ แสดงว่าคำเสนอคำสนองใหม่ถูกต้องตรงกันสัญญาเกิดขึ้นแล้ว มีผลให้เป็นการยกเลิกสัญญาเดิมและผูกพันกันตามสัญญาที่เกิดขึ้นใหม่ ต่อมาโจทก์ มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบข้าวลงเรือในเดือนตุลาคม 2537 โดยไม่มีข้อความให้จำเลยมาทำสัญญาเป็นหนังสือ แต่กลับเร่งรัดให้จำเลยส่งมอบข้าวให้ทันกำหนดเวลา แสดงว่าโจทก์ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้สัญญามีผลสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำสัญญาเป็นหนังสือก่อน การที่จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วมีหนังสือขอเลื่อนไปส่งมอบข้าวสารในเดือนธันวาคม 2537 โดยไม่ทักท้วงหรือโต้แย้งว่าสัญญายังไม่ได้ลงนามเนื่องจากยังไม่ได้ตกลงกันในเรื่องค่าเสียหาย การค้ำประกันและการส่งมอบ ทั้งปรากฏว่ากรมการค้าต่างประเทศเคยซื้อข้าวจากจำเลยโดยส่งประกาศรับซื้อไป จำเลยตอบรับ หลังจากนั้นจำเลยส่งมอบข้าวโดยไม่จำต้องทำสัญญาเป็นหนังสืออีก พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยเองมิได้มุ่งที่จะให้การซื้อขายข้าวดังกล่าวนั้นจะต้องทำสัญญากันเป็นหนังสือเช่นกัน ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยจึง มีผลบังคับได้ตามกฎหมายแล้ว หาได้มีกรณีที่สงสัยว่าสัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสองแต่อย่างใดไม่
ส. เป็นกรรมการผู้จัดการบริหารงานของบริษัทจำเลยมีอำนาจในการติดต่อทำการค้าแทนจำเลย การที่ ส. ลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลย จึงเป็นการกระทำแทนบริษัทจำเลย มิใช่ทำเป็นส่วนตัว เมื่อ ส. เป็นผู้เสนอขายข้าวให้โจทก์ในนามของจำเลยและจำเลยก็นำสืบยอมรับความสมบูรณ์ของเอกสารอันเป็นคำเสนอขายข้าวโดยรับเอาประโยชน์ไว้เป็นของตน ทั้งต่อมาจำเลยยังให้ ส. เป็นตัวแทนในการทำหนังสือขอเลื่อนการส่งมอบข้าวด้วย จึงถือได้ว่าจำเลยเชิด ส. เป็นตัวแทนของจำเลยหรือรู้แล้วยอมให้ ส. เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายข้าวพิพาท จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 821 ทั้งการเป็นตัวแทนเชิดดังกล่าว หาใช่การตั้งตัวแทนตามปกติไม่ จึงไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำแทน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒๐,๓๕๘,๙๙๖.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๑๙,๔๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๒๐,๓๕๘,๙๙๖.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๑๙,๔๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาล สาธารณรัฐอินโดเนเซีย โดยกระทรวงการอาหาร ตามสัญญาซื้อขายข้าวเอกสารหมาย จ.๖ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๗ จำเลยได้เสนอขายข้าวให้แก่โจทก์เป็นข้าวสารชนิด ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เลิศปริมาณ ๒๐,๐๐๐ บา เมตริกตัน ส่งมอบระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ๒๕๓๗ ราคาเอฟ โอ บี กรุงเทพ เมตริกตันละ ๒๐๕ ดอลลาร์สหรัฐ โดยยืนยันเสนอราคาขายข้าวจนถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๗ ตามเอกสารหมาย จ.๗ ต่อมาวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๗ โจทก์มีหนังสือตอบตกลงให้จำเลยเป็นผู้ส่งมอบข้าวตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๗ จำเลยมีหนังสือยืนยันการขายข้าวแต่เปลี่ยนวิธีการขอรับเงินจากโจทก์โดยตรง โดยเสนอราคาขายในราคาเอฟ โอ บี กรุงเทพ เมตริกตันละ ๒๐๔ ดอลลาร์สหรัฐ ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๗ โจทก์ตอบตกลงซื้อข้าวตามราคาที่จำเลยเสนอมาในราคาเงินสด เมตริกตันละ ๒๐๔ ดอลลาร์สหรัฐ และให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์โดยด่วน ตามเอกสารหมาย จ.๑๓ ต่อมา วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๗ โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งมอบข้าวจำนวน ๒,๐๐๐ เมตริกตัน ลงเรือเพื่อส่งมอบแก่ประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียต่อไป ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๗ จำเลยมีหนังสือขอเลื่อนการส่งมอบข้าวจำนวนดังกล่าวไปเป็นเดือนธันวาคม ๒๕๓๗
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า สัญญาซื้อขายข้าวระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เกิดขึ้นมีผลสมบูรณ์เป็นสัญญาซื้อขายกันแล้วหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์มีหนังสือมายังจำเลยให้มาทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์โดยด่วน จำเลยยังไม่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายดังกล่าว สัญญาซื้อขายยังไม่เกิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายนั้น เห็นว่า เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๗ จำเลยมีคำเสนอขายข้าวสารชนิด ๒๕ เปอร์เซ็นต์ จำนวน ๒๐,๐๐๐ เมตริกตัน ส่งมอบเดือนตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๓๗ ไปยังโจทก์ และวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๗ โจทก์ตกลงให้จำเลยเป็นผู้ส่งข้าว เมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลงกันว่าจะต้องทำสัญญากันเป็นหนังสือและคำเสนอคำสนองดังกล่าวถูกต้องตรงกัน จึงย่อมก่อให้เกิดสัญญาแล้ว แต่เมื่อพิจารณาเอกสารจำเลยมีถึงโจทก์ยืนยันการขายข้าว และยอมรับการชำระเงินสด จากโจทก์ ถือว่าเป็นคำเสนอใหม่ในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๗ โจทก์ตอบตกลงซื้อขายข้าวตามราคาที่เสนอมาใหม่ ให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ แสดงว่าคำเสนอคำสนองใหม่ถูกต้องตรงกันสัญญาเกิดขึ้นแล้ว มีผลเป็นการยกเลิกสัญญาเดิม และผูกพันกันตามสัญญาทีเกิดขึ้นใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๗ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบข้าวจำนวน ๒,๐๐๐ เมตริกตันลงเรือในเดือนตุลาคม ๒๕๓๗ โดยเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อความให้จำเลยมาทำสัญญา เป็นหนังสือ แต่กลับเร่งรัดให้จำเลยส่งมอบข้าวให้ทันกำหนดเวลา แสดงว่าโจทก์ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้สัญญามีผลสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำสัญญาเป็นหนังสือก่อน การที่จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าว แล้วมีหนังสือขอเลื่อนไปส่งมอบข้าวสารจำนวนดังกล่าวในเดือนธันวาคม ๒๕๓๗ โดยจำเลยไม่ได้ทักท้วงหรือโต้แย้งว่าสัญญายังไม่ได้ลงนามเนื่องจากยังไม่ได้ตกลงกันในเรื่องค่าเสียหาย การค้ำประกัน และการส่งมอบ ทั้งนายจักรพันธ์ เกษภิญโญ เจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พยานโจทก์เบิกความว่า กรมการค้าต่างประเทศ เคยซื้อข้าวจากจำเลยโดยส่งประกาศรับซื้อไป จำเลยตอบรับ หลังจากนั้นจำเลยส่งมอบข้าวโดยไม่จำต้องทำสัญญาเป็นหนังสืออีก พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยเองมิได้มุ่งที่จะให้การซื้อขายข้าวดังกล่าวจะต้องทำสัญญากันเป็นหนังสือเช่นกัน ดังนั้นสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายแล้ว หาได้มีกรณีเป็นที่สงสัยว่าสัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๖๖ วรรคสอง ไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า นายสุรพงษ์ ตั้งดำรงกูล กรรมการผู้จัดการซึ่งลงนามในเอกสารหมาย จ.๑๑ และ จ.๑๗ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยนั้น เห็นว่า นายสุรพงษ์ ตั้งดำรงกูล เป็นกรรมการ ผู้จัดการบริหารงานของบริษัทจำเลยมีอำนาจในการติดต่อทำการค้าแทนจำเลย โดยนายสุรพงษ์ลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลย เป็นการกระทำแทนบริษัทจำเลยมิใช่ทำเป็นส่วนตัว และนายสุรพงษ์ยังเป็นผู้เสนอขายข้าวให้โจทก์ในนามของจำเลยด้วย ซึ่งจำเลยก็นำสืบยอมรับความสมบูรณ์ของเอกสารดังกล่าว และรับเอาประโยชน์ไว้เป็นของตน ทั้งต่อมาจำเลยยังยินยอมให้นายสุรพงษ์เป็นตัวแทนในการทำเอกสารด้วย จึงถือได้ว่าจำเลยเชิดนายสุรพงษ์เป็นตัวแทนของจำเลยหรือรู้แล้วยอมให้นายสุรพงษ์เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายข้าวรายพิพาท จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ ทั้งการเป็นตัวแทนเชิดดังกล่าว หาใช่การตั้งตัวแทนตามปกติแต่อย่างใดไม่ จึงไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทน
พิพากษายืน .