แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนิติบุคลลมีวัตถุประสงค์ทำการค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องสุขภัณฑ์ฟ้องเรียกหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์จำเลยให้การว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยเกิน 2 ปีจึงขาดอายุความ ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีของโจทก์มีอายุความ5 ปี เพราะจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปขายให้บุคคลทั่วไปมิใช่ซื้อมาเพื่อใช้บริโภคเอง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งปัญหานี้ไม่มีผลกระทบถึงสังคมหรือประชาชนทั่วไป จึงไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อระหว่างวันที่ 3 มีนาคม2537 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2537 จำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าจำพวกเครื่องกำจัดน้ำเสียพร้อมอุปกรณ์ประกอบไปจากโจทก์จำนวน20 รายการ รวมเป็นเงิน 1,645,266.24 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 102,869 บาท คงเหลือหนี้จำนวน1,542,397.24 บาท และเมื่อต้นปี 2538 จำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าถังน้ำถังบำบัด และปั๊มน้ำจากโจทก์รวมเป็นเงิน 485,941 บาท จำเลยที่ 1ออกเช็ค มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้บางส่วน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน92,448 บาท คงเหลือหนี้ 393,493 บาท จำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 1,935,890.24 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,222,294.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอต้นเงิน 1,935,890.24 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ครบแล้ว และรายการสินค้าดังกล่าวเป็นรายการซื้อขายสินค้ากันมาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ทำการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ทำการค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องสุขภัณฑ์ฟ้องเรียกหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองซื้อไปจากโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ในเรื่องอายุความว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หนี้ค่าสินค้ารายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม2537 ถึงต้นปี 2538 แต่โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2540พ้นกำหนด 2 ปี และที่จำเลยที่ 1 โอนเงินชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2538 เป็นการชำระหนี้ค่าสินค้ารายการอื่นไม่ใช่ชำระหนี้ตามฟ้อง ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้อายุความไม่สะดุดหยุดลง ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1)พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งว่า การโอนเงินชำระหนี้บางส่วนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2538 เป็นการรับสภาพหนี้ตามฟ้องคดีไม่ขาดอายุความ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปีแล้ว ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีของโจทก์มีอายุความ 5 ปี เพราะจำเลยทั้งสองซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปขายให้บุคคลทั่วไป มิใช่ซื้อมาเพื่อใช้บริโภคเอง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นมาในชั้นฎีกา ไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้ไม่มีผลกระทบถึงสังคมหรือประชาชนทั่วไป จึงไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์