แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยและภริยาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พร้อมกิจการ รวมทั้งอุปกรณ์การผลิตและจำหน่ายทรายจากโจทก์ โดยชำระราคาด้วยเงินสดบางส่วน ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คซึ่งมีเช็คพิพาทของจำเลยอยู่ด้วย โจทก์ได้โอนและมอบทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยและภริยาแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง แม้จำเลยยังมีข้อต่อสู้คดีอยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใดการบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด กรณีจึงแตกต่างจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง จำเลยและนางวราพร เทอดแพงพันธ์ ภริยาทำสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมกิจการ อุปกรณ์การผลิตและจำหน่ายทรายจากโจทก์ เมื่อวันที่ 18เมษายน 2538 ในราคา 16,000,000 บาท โดยชำระราคาด้วยเงินสด 500,000บาท ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คของจำเลย 2 ฉบับ คือ เช็คตามฟ้องเอกสารหมาย จ.2และ จ.4 กับเช็คของนางวราพร 12 ฉบับ ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินรวมใบอนุญาตและเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ทั้งสองโอนและมอบทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยและนางวราพรแล้ว แต่เมื่อเช็คตามฟ้องถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ส่วนเช็คอีก 12 ฉบับ ของนางวราพรก็ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นเดียวกัน ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2539 โจทก์ทั้งสองจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา และยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย เรียกค่าเสียหายและขับไล่ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย ล.14
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย เรียกค่าเสียหายและขับไล่ เป็นเหตุให้หนี้ที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อให้ใช้เงินได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือว่าคดีเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินรวมใบอนุญาตและเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมตามเอกสารหมาย จ.6 เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง ซึ่งจำเลยยังมีข้อต่อสู้คดีอยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใดการบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด ถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามที่จำเลยออกเช็คเพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แตกต่างจากกรณีที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วโดยนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2538 ซึ่งศาลชั้นต้นยกขึ้นอ้าง คดีจึงยังไม่เลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ฉะนั้น เมื่อจำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินรวมใบอนุญาตและเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมตามเอกสารหมาย จ.6 และปรากฏว่าโจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่ดินที่ซื้อขายกันตามสัญญาให้แก่จำเลยแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คตามฟ้องถึงกำหนดจึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด2 กรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56