คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5323/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยผิดสัญญา แต่โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบ สัญญาจะซื้อขายยังมีผลบังคับอยู่ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยาย ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานดังที่เป็นอยู่เดิม พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ จำเลยฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญา โดยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายในภายหลังด้วย ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2536 จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26094 กับโจทก์โดยจำเลยจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 496,812 บาท โจทก์วางเงินมัดจำจำนวน 248,456 บาท ส่วนที่เหลือกำหนดชำระในวันที่ 16 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาได้ทันที และจำเลยยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 496,912 บาท และต้องรับผิดชอบเรื่องทางเข้าออกถาวรให้แก่โจทก์ เมื่อถึงวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำเลยไม่ทำทางเข้าออกถาวรให้โจทก์และไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 26094 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำจำนวน 248,456บาท กับใช้ค่าเสียหายจำนวน 486,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า วันนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์เดินทางมาถึงสำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาพนมสารคาม เวลา 16 นาฬิกาจำเลยแจ้งให้โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดินในวันรุ่งขึ้น แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอ้างว่าจำเลยไม่ทำทางเข้าออกถาวรให้โจทก์ และต่อรองให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินเพียงให้จำเลยรับผิดชอบเรื่องทางเข้าออกถาวรเท่านั้น โดยหากโจทก์ไม่สามารถเข้าออกได้จำเลยต้องรับผิดชอบและโจทก์มีสิทธิปฏิเสธการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้เท่านั้น มิใช่ให้จำเลยต้องทำทางให้โจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 59,456 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยผิดสัญญา แต่โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบ สัญญาจะซื้อขายยังมีผลบังคับอยู่ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยาย โจทก์และจำเลยต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานดังที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำจำนวน 248,456 บาทแก่โจทก์ และโจทก์ต้องใช้ราคาทรายที่โจทก์ขุดไปจากที่ดินพิพาทจำนวน 189,000 บาท เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วคงเหลือเงินมัดจำที่จำเลยต้องคืนแก่โจทก์จำนวน 59,456 บาท จำเลยฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญา โดยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่วินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายในภายหลังด้วย ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share