คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนในเรื่องหนี้สินแล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาลพร้อมทั้งรายงานว่ามีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ประการใดหรือไม่แล้วศาลเป็นผู้มีอำนาจสั่ง
เพียงแต่ศาลเขียนสั่งในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ‘ได้พิจารณาตลอดแล้วเห็นชอบด้วย’ เช่นนี้แม้จะมิได้ใช้ถ้อยคำให้ชัดเจนว่าได้สั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นก็ตามแต่เมื่อพิจารณาแล้วก็พอถือได้ว่าเป็นคำสั่งที่สั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นเองเพราะไม่ปรากฏว่าศาลได้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น

ย่อยาว

คดีนี้เนื่องจากศาลได้พิพากษาให้บริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพฯจำกัด ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นรายงานต่อศาลว่ากระทรวงอุตสาหกรรมยื่นคำขอรับชำระหนี้เช่าประเภทต่าง ๆ และดอกเบี้ยรวม 7 รายการเงิน 58,838.95 บาท ภายหลังที่ลูกหนี้ล้มละลายแล้วโรงงานทอผ้าไทยได้โอนไปขึ้นสังกัดกรมการอุตสาหกรรมกระทรวงกลาโหม คำขอรับชำระหนี้รายนี้ไม่มีเจ้าหนี้คัดค้านและผู้ล้มละลายก็ไม่คัดค้าน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นควรให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ 5 รายการในฐานะเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิเป็นจำนวนเงิน 1,794,390.08 บาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 261 และรายการอันดับ 6, 7 ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ธรรมดารวมเป็นเงิน 58,838.95 บาท

ศาลแพ่งสั่งในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ได้พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย

โจทก์อุทธรณ์ขอให้กลับคำสั่งของศาลแพ่งที่ได้สั่งรับชำระหนี้รายการอันดับ 1 ถึง 5 เป็นบุริมสิทธิ์นั้นเสียและพิพากษาให้หนี้ที่กล่าวนี้เป็นหนี้สามัญธรรมดา ได้ส่วนเฉลี่ยเช่นหนี้รายอื่น ๆ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่ผู้ขอรับชำระหนี้จะพึงได้รับชำระหนี้เพียงไรหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขอความเห็นชอบจากศาล เป็นเรื่องของศาลที่จะสั่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106, หรือ 107 กรณีนี้เพียงแต่ศาลเขียนสั่งในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า “ได้พิจารณาตลอดแล้วเห็นชอบด้วย” นั้นก็มีแต่คำวินิจฉัยหรือความเห็นเท่านั้นยังไม่มีคำสั่งตามมาตรา 106 หรือ 107 ไม่สมควรที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาข้อโต้เถียงตามที่โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านมาในเวลานี้จึงพิพากษาให้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ตามรูปความให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106 ฯลฯ

กระทรวงกลาโหมเจ้าหนี้ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่าในการตรวจคำขอรับชำระหนี้นั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 105 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนในเรื่องหนี้สินแล้วทำความเห็นส่งต่อศาลพร้อมทั้งรายงานว่ามีผู้ใดโต้แย้งหรือไม่มาตรา 106 บัญญัติว่า กรณีที่ไม่มีข้อโต้แย้งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ไว้ เว้นแต่มีเหตุสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น และมาตรา 107 บัญญัติใจความว่า กรณีที่ข้อโต้แย้งนั้น ให้ศาลพิจารณาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง (1) ยกคำขอรับชำระหนี้ (2) อนุญาตให้รับชำระหนี้เต็มจำนวน (2) อนุญาตให้รับชำระหนี้แต่บางส่วน

การขอรับชำระหนี้ของกระทรวงกลาโหมนี้ไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรณีจึงเข้ามาตรา 106 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้รับชำระหนี้ได้เว้นแต่มีเหตุอันสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น การที่ศาลชั้นต้นเขียนสั่งในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวข้างต้น จริงอยู่แม้จะมิได้ใช้ถ้อยคำให้ชัดเจนว่าได้สั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็พอถือได้ว่าเป็นคำสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นเอง เพราะไม่ปรากฏว่าศาลได้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป

Share