คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5299/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 และข้อ 3 ระบุว่า หากจำเลยขายที่ดินทั้งสองแปลงได้ภายใน 2 ปี จำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์ 1,500,000 บาท โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ย หากจำเลยผิดนัด ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีก็ตาม แต่สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้กำหนดไว้ว่า หากจำเลยผิดนัดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แสดงว่าคู่สัญญามิได้ประสงค์ที่จะให้มีการคิดดอกเบี้ยเมื่อมีการผิดนัด จะตีความสัญญาประนีประนอมยอมความว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ภายใน 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาแล้ว จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดด้วยนั้น เป็นการตีความเพื่อให้จำเลยรับผิดเพิ่มขึ้นซึ่งตามสัญญามิได้กำหนดความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยไว้ ย่อมไม่ชอบด้วยหลักของการตีความ ทั้งตามสัญญาข้อ 5 มีข้อความระบุด้วยว่า โจทก์และจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดอีก ยิ่งแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากจำนวนเงิน 1,500,000 บาท ตามที่ตกลงกันเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท แก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับแต่วันผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่าไม่ปรากฏเรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้ยกคำร้อง โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คู่ความไม่ได้มีข้อตกลงใด ๆ เรื่องดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งยกคำร้องชอบด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยตกลงชำระเงิน 1,500,000 บาท แก่โจทก์ โดยโจทก์ยอมผ่อนผันให้จำเลยขายที่ดินสองแปลงเป็นระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เพื่อให้จำเลยหาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยขายที่ดินทั้งสองแปลงได้ภายใน 2 ปี จำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์ 1,500,000 บาท โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลย หากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญา ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันที โจทก์และจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดอีก และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย ข้อ 2 และข้อ 3 มีข้อความระบุว่า หากจำเลยขายที่ดินทั้งสองแปลงได้ภายในระยะเวลา 2 ปี จำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์ 1,500,000 บาท โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลย หากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญา ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันทีก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้กำหนดไว้ว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แสดงว่าคู่สัญญามิได้ประสงค์ที่จะให้มีการคิดดอกเบี้ยเมื่อมีการผิดนัด จะตีความสัญญาประนีประนอมยอมความว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาแล้ว จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดด้วยนั้น เป็นการตีความเพื่อให้จำเลยรับผิดเพิ่มขึ้นซึ่งตามสัญญามิได้กำหนดความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยไว้ ย่อมไม่ชอบด้วยหลักของการตีความ ทั้งตามสัญญาข้อ 5 มีข้อความระบุด้วยว่า โจทก์และจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดอีก ยิ่งแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากจำนวนเงิน 1,500,000 บาท ตามที่ตกลงกันเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share