คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5294/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย ปรากฏว่าคดีก่อนโจทก์ได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยขอให้ขับไล่ผู้ร้องออกจากที่ดินซึ่งเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องเช่าจากผู้แทนโจทก์ ผู้ร้องให้การต่อสู้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยการครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2517 จนถึงปัจจุบัน ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของผู้ร้องและพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์และผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นให้แตกต่างไปจากผลแห่งคำวินิจฉัยของคำพิพากษาดังกล่าวได้ ที่ผู้ร้องมิได้ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องในคดีก่อนด้วยก็มีผลเพียงว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น แต่หากผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยฟ้องแย้งเข้ามาในคดี นอกจากศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้วก็ยังจะต้องมีคำพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามฟ้องแย้งด้วย เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องและตามคำคัดค้านของโจทก์คดีนี้เพียงพอแก่การวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องได้เช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะนำข้อเท็จจริงดังกล่าวในคดีก่อนซึ่งผูกพันโจทก์และผู้ร้องมาฟังในคดีนี้เพื่อวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเดียวกันได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดไต่สวนพยานแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย โดยหยิบยกคำพิพากษาในคดีดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีนี้โดยมิได้มีการไต่สวน จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๐๖ เนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๒ งาน ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา ๘ วัน นับแต่วันปิดประกาศ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดดำเนินการบังคับคดีแก่ผู้ร้อง โดยให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับให้ผู้ร้องออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดการไต่สวนพยานแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยโดยหยิบยกคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๕๑/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น มาเป็นข้อวินิจฉัยโดยมิได้มีการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเลยเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้จากคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๕๑/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้ฟ้องผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวขอให้บังคับขับไล่ผู้ร้องออกจากที่ดินซึ่งเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้โดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องได้เช่าจากผู้แทนโจทก์ ต่อมาเมื่อโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน ผู้ร้องคัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โดยมีคำขอบังคับให้ผู้ร้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามผู้ร้องเกี่ยวข้องอีกต่อไป ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดีหลายประการและต่อสู้ด้วยว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ ตลอดมาจนปัจจุบัน ผู้ร้องและบิดาไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง คำให้การของผู้ร้องดังกล่าวได้ยกข้อเถียงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จึงเป็นการยกข้อต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ คำฟ้องของโจทก์และคำให้การของผู้ร้องจึงมีประเด็นข้อพิพาทโดยตรงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ตามที่ศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานไว้ เมื่อคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของผู้ร้องและพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เนื่องจากโจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของโจทก์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์และผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นให้แตกต่างไปจากผลแห่งคำวินิจฉัยของคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้ฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาดังกล่าวก็มิได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยเกี่ยวแก่ที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ทำให้โจทก์เพียงแต่ไม่มีสิทธิขับไล่ผู้ร้องออกจากที่ดินพิพาทเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผู้ร้องให้การยกข้อต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทว่าเป็นของผู้ร้อง โดยมิได้ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องนั้นก็มีผลเพียงว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น แต่หากผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยฟ้องแย้งเข้ามาในคดีนั้น นอกจากศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้วก็จะมีคำพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามฟ้องแย้งด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าประการใดผลของคำพิพากษานั้นยังต้องผูกพันโจทก์และผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความในคดีตามบทบัญญัติดังกล่าวอยู่นั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องและตามคำคัดค้านของโจทก์เพียงพอแก่การวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องได้เช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะนำข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวซึ่งผูกพันโจทก์และผู้ร้องมาฟังในคดีนี้เพื่อวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทตามคำร้องซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทเดียวกันได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดไต่สวนพยานแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยโดยหยิบยกคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๕๑/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้นมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีนี้โดยมิได้มีการไต่สวนคำร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มิได้มีคำสั่งให้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเสียให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share