คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกไว้แล้ว ต่อมาโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัดปัตตานี ฟ้องคดีหลังของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อันส่งผลให้คำสั่งประทับฟ้องของศาลจังหวัดปัตตานีไม่ชอบไปด้วย
กรณีที่ห้ามมิให้ศาลใดศาลหนึ่งรับคดีซึ่งศาลอื่นได้รับประทับฟ้องไว้แล้วตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 เดิม ต้องเป็นกรณีที่ศาลอื่นรับประทับฟ้องไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งประทับฟ้องไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาคดีแรกต่อไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 326, 328, 332 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 48, 49 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันโฆษณาหรือประกาศคำพิพากษาของศาลและคำขออภัยโจทก์เนื้อที่เต็มหน้าในหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกจำหน่ายในกรุงเทพมหานครทุกฉบับ เป็นเวลา 15 วัน ติดต่อกันโดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันดำเนินการและออกค่าใช้จ่ายในการทำจดหมายเหตุบันทึกไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการตามเอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับที่เก็บไว้เป็นหลักฐาน ณ หอสมุดแห่งชาติตามข้อความในคำขอที่ให้จำเลยทั้งสามประกาศคำพิพากษาของศาลและคำขออภัยโจทก์ดังกล่าวข้างต้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลความผิดเดียวกันนี้ที่ศาลจังหวัดปัตตานี ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 928/2542 และศาลจังหวัดปัตตานีประทับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 ศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงไม่มีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาต่อไป ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2477 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 18 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายจับจำเลยทั้งสาม และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นสอบทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสามแล้วต่างยอมรับว่าโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเรื่องเดียวกันที่ศาลชั้นต้นต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 8 ศาล ศาลชั้นต้นในคดีนี้เป็นศาลแรกที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ส่วนศาลจังหวัดปัตตานีเป็นศาลแรกที่ประทับรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้น ศาลจังหวัดปัตตานีซึ่งประทับฟ้องไว้ก่อนมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ เนื่องจากไม่อนุญาตให้โจทก์นำคดีดังกล่าวมารวมพิจารณากับคดีนี้ ส่วนคดีของโจทก์ที่ศาลอื่น ๆ อีก6 ศาล ศาลได้จำหน่ายคดีแล้วเช่นกัน คดีของโจทก์คงเหลือที่ศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียวศาลชั้นต้นมีคำสั่งวันที่ 7 เมษายน 2543 ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ได้เพราะว่าคดีของโจทก์คงเหลืออยู่ที่ศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสามและให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป จำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 10กรกฎาคม 2543 ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2477 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 18 ให้จำหน่ายคดีของโจทก์จากสารบบความ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 และยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับมูลคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2542ศาลจังหวัดปัตตานีได้ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 ส่วนศาลชั้นต้นก็ได้ทำการไต่สวนมูลฟ้อง และมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2542 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่10 กรกฎาคม 2543 ว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18(เดิม) เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามที่ศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกไว้แล้ว ต่อมาโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยทั้งสามข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัดปัตตานีฟ้องคดีหลังของโจทก์ที่ศาลจังหวัดปัตตานีจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อันส่งผลให้คำสั่งประทับฟ้องของศาลจังหวัดปัตตานีไม่ชอบไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้เพราะศาลจังหวัดปัตตานีรับประทับฟ้องโจทก์โดยชอบไว้พิจารณาพิพากษาแล้วตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18(เดิม) นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพราะกรณีที่ห้ามมิให้ศาลใดศาลหนึ่งรับคดีซึ่งศาลอื่นได้รับประทับฟ้องไว้แล้ว ต้องเป็นกรณีที่ศาลอื่นรับประทับฟ้องไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น คดีนี้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งประทับฟ้องไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลเป็นศาลแรก และศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิจารณาคดีต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 ให้จำหน่ายคดีโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนมานั้นจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 ของศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป

Share