คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5292/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อต่อสู้ที่ลูกหนี้มีต่อผู้โอนซึ่งยกขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงข้อต่อสู้เกี่ยวกับสภาพแห่งหนี้ว่าบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การ นำสืบ และอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้ ไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้อง เป็นการยกข้อต่อสู้เกี่ยวกับสภาพแห่งหนี้ว่าไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีสิทธิยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นอ้างได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 267,130,450.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 158,000,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงิน 42,999,978.08 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 21,600,000 บาท และจำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชำระเงิน 35,833,315.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 18,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 19,841,917.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 18,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 14322, 14323, 15746, 21452, 26581 ตำบลท่าจีน และตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ของจำเลยที่ 2 และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 5652 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ของจำเลยที่ 3 เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามส่วนที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 158,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14.25 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000,000 บาท นับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2540 และอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 158,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ในวงเงิน 21,600,000 บาท และ 18,000,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ในวงเงินจำนองพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนกว่าจะครบ แต่เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดมาชำระหนี้ไม่เกินวงเงินจำนองพร้อมดอกเบี้ยตามความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนรวม มีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อและรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุนรวม โดยมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ แทนโจทก์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม ในการฟ้องและดำเนินคดีโจทก์โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด มอบอำนาจให้บริษัทเอเซียรีคอฟเวอรี่ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนและให้มีอำนาจแต่งตั้งตัวแทนช่วงได้ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอส ซี เอฟ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิม เป็นหนึ่งในบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 56 แห่ง ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งระงับการดำเนินกิจการ ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและชำระบัญชีขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิยกข้อต่อสู้โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้ไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 เห็นว่า จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำคัดค้านการขายสินทรัพย์ตามมาตรา 30 ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541 ถือว่าจำเลยทั้งสามให้ความยินยอมกับการขายสินทรัพย์โดยมิได้อิดเอื้อน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ที่มีต่อเจ้าหนี้เดิมผู้โอนขึ้นต่อสู้ โจทก์ผู้รับโอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 308 วรรคหนึ่ง และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ข้อต่อสู้ที่ลูกหนี้มีต่อผู้โอนซึ่งยกขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 308 วรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงข้อต่อสู้เกี่ยวกับสภาพแห่งหนี้ว่าบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การนำสืบและอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้ไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้อง เป็นการยกข้อต่อสู้เกี่ยวกับสภาพแห่งหนี้ว่าไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีสิทธิยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นอ้างได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในประเด็นดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนเฉพาะประเด็นดังกล่าวไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาใหม่
หนี้เงินกู้ยืมจำนวน 18,000,000 บาท ตามคำขอกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงิน ทำเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2539 เป็นช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอส ซี เอฟ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิม เมื่อโจทก์นำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้โดยละเอียด รวมทั้งมีคำขอกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงินและสำเนาเช็คลงวันที่ 30 กันยายน 2539 มาแสดง โดยเช็คดังกล่าวเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะที่สั่งจ่ายแก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏว่าวงเงินจำนอง 18,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 3 จำนองเป็นประกันก็ตรงกับวงเงินกู้ ส่วนวงเงินจำนอง 21,600,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 จำนองเป็นประกัน จำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงลายมือชื่อจริง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน่ารับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จำนวน 18,000,000 บาท ตามคำขอกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงิน และสำเนาเช็คลงวันที่ 30 กันยายน 2539 โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกัน ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 18,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share