คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยชอบที่จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญากู้ไม่มีผลผูกพันเพราะโจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ ที่นำไปช่วยลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลยได้ไม่เป็นการสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างเมื่อได้นำสัญญากู้มาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาอยู่อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์นั่นเอง และเมื่อทางพิจารณารับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันเปิดกิจการค้าน้ำแข็งก้อน สัญญากู้เป็นเพียงหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปร่วมลงทุนค้าน้ำแข็งก้อนกับจำเลยเท่านั้น กรณีก็มิใช่เป็นการกู้ยืมดังฟ้องโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 757,393 บาท แล้วไม่ชำระเงินคืน ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระเงินให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์โจทก์ชวนให้จำเลยเข้าเป็นหุ้นส่วนทำน้ำแข็งก้อนขาย โดยโจทก์เป็นฝ่ายลงทุนในวงเงิน 1,000,000 บาท ส่วนจำเลยเป็นฝ่ายลงแรงงานกำไรแบ่งคนละครึ่ง จำเลยได้ตกลงเปิดร้านค้าทำน้ำแข็งก้อนขายชื่อ”ราณีสโตร์” โจทก์ได้นำเงินไปลงทุน 490,000 บาท และจำเลยได้ใช้เงินส่วนตัวของจำเลยสำรองไปก่อนจำนวน 267,393 บาท ซึ่งโจทก์รับว่าจะคืนให้จำเลย แต่ยังไม่ได้คืน โจทก์แจ้งว่าการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงขอให้จำเลยทำหลักฐานว่าได้รับเงินจำนวน 757,393 บาท ไปจากโจทก์โดยโจทก์นำแบบฟอร์มสัญญาเงินกู้ไปให้จำเลยลงชื่อและรับปากว่าจะจ่ายเงินจำนวน 267,393 บาทที่จำเลยจ่ายสำรองไปคืนให้จำเลย ขอให้ศาลยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชดใช้เงิน 267,393 บาท ให้จำเลยพร้อมทั้งดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2526 โจทก์รู้จักกับจำเลยที่วัดเพชรสุวรรณต่อมาจำเลยปรับทุกข์ว่ากิจการค้าของจำเลยประสบภาวะขาดทุน อยากเปลี่ยนกิจการค้าเป็นขายน้ำแข็งก้อนแต่ไม่มีทุน จำเลยจึงขอให้โจทก์ช่วยเหลือ โจทก์สงสารเพราะเห็นว่าจำเลยมีบุตร 5 คน และเพื่อมนุษยธรรมเนื่องจากเป็นศิษย์ของพระวัดเดียวกันจึงตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินไปลงทุน จำเลยได้รับเงินยืมจากโจทก์รวมประมาณ5 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 757,393 บาท จำเลยสัญญาว่าจะคืนเงินยืมเมื่อดำเนินกิจการค้าได้แล้ว ต่อมาปรากฏว่าการค้าน้ำแข็งของจำเลยดำเนินได้แล้ว แต่จำเลยไม่คืนเงินแก่โจทก์ ที่จำเลยอ้างว่าออกเงินสำรองไปนั้น ไม่เป็นความจริงและไม่เกี่ยวกับโจทก์ จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ก็เพราะจำเลยยืมเงินโจทก์ไปไม่เกี่ยวกับเป็นหุ้นส่วนขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 757,393 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีผลผูกพันเพราะโจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปช่วยลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลยและขอนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างดังกล่าวนั้น ไม่อาจทำได้เพราะเป็นการขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างเมื่อได้นำเอกสารสัญญากู้ยืมหมาย จ.1 มาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญากู้ยืมอยู่อีกดังกล่าว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่าจำเลยชอบที่จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างเช่นนั้นได้เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 ไม่สมบูรณ์นั่นเอง
คดีมีปัญหาต่อมาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องหรือไม่ได้พิเคราะห์สัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 แล้วในข้อ 3 ของสัญญากู้ยืมมีข้อความว่าผู้กู้ยอมสัญญาจะนำเงินที่กู้มาชำระให้แก่ผู้ให้กู้ภายในวันที่ พอดำเนินกิจการแล้วมาประเมินผลว่าจะชำระคืนอย่างไรแล้วจะทำสัญญาตกลงกันใหม่อีกครั้ง เห็นว่าเป็นการบันทึกถึงกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดำเนินการอยู่ แล้วนำการดำเนินการของกิจการนั้นมาประเมินผลว่าจะชำระคืนอย่างไรส่วนข้อความต่อมาที่ว่าแล้วจะทำสัญญาตกลงกันใหม่อีกครั้ง หมายถึงทำการตกลงเกี่ยวกับกิจการนั้นอีกครั้งทั้งจำนวนเงินตามสัญญากู้ยืมระบุจำนวนไว้ 757,393 บาท มีเศษ 393 บาท อันผิดวิสัยของการกู้ยืมกันโดยทั่วไปและจำนวนเงินที่กู้ยืมกันมีจำนวนมากถึงเจ็ดแสนบาทเศษกลับไม่มีการคิดดอกเบี้ยกันอันเป็นการผิดวิสัยผู้ให้กู้ยืมจะพึงกระทำ นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบว่าในวันเปิดร้านขายน้ำแข็งชื่อราณีสโตร์อันเป็นกิจการหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ได้แสดงตนเป็นเจ้าของร้านปรากฏตามหนังสือพิมพ์เอกสารหมาย ล.4หลังจากเปิดร้านแล้วโจทก์เข้าไปสั่งงานแก่คนงานคุมการเงิน เคยไปเก็บเงินจากลูกค้า ที่โจทก์นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหุ้นส่วนหรือเกี่ยวข้องกับกิจการน้ำแข็งก้อนของร้านราณีสโตร์จึงฟังไม่ขึ้นพยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันเปิดกิจการค้าน้ำแข็งก้อนสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นเพียงหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปร่วมลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลยเท่านั้น กรณีมิใช่เป็นการกู้ยืมดังฟ้องโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน.

Share