แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่ขอให้บังคับจำเลย (ลูกจ้าง) คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ยักยอกไป ฟ้องแย้งเป็นเรื่องขอให้บังคับโจทก์(นายจ้าง) จ่ายค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยอ้างว่าโจทก์ขู่บังคับให้จำเลยลาออกโดยมิชอบ แม้ว่าทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นคดีแรงงานก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตลอดจนหลักฐานที่จะนำสืบเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน ฟ้องแย้งจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ยักยอกไปรวมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 9,371,309.36บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้น 8,434,705.59บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ทรัพย์สินของโจทก์มิได้สูญหายโจทก์ฉ้อโกงจำเลยและฟ้องคดีอาญาเพื่อบีบบังคับให้จำเลยต้องจ่ายเงินคดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปีแล้ว โจทก์ขู่บังคับให้จำเลยลาออกโดยมิชอบโจทก์จึงต้องจ่ายเงินเดือนที่ค้างและค่าชดเชยแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์จ่ายเงิน 80,000 บาทแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยลาออกจากงานโดยสมัครใจจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างและค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ต่อมาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเนื่องจากมูลฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์เป็นมูลละเมิดหรือยักยอก ส่วนฟ้องแย้งมีมูลเหตุมาจากการเลิกจ้างจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่ขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ยักยอกไปส่วนจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์ขู่บังคับให้จำเลยลาออกโดยมิชอบขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย ดังนั้น ฟ้องเดิมเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน และฟ้องแย้งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานแม้ว่าทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นคดีแรงงานก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตลอดจนหลักฐานที่จะนำสืบเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างกันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้
พิพากษายืน