แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การพิจารณาว่านายจ้างจัดสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างในกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานมีการจ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 55 หรือไม่จะต้องพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของลูกจ้างทั้งระบบมิใช่พิจารณาแต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของลูกจ้างทั้งระบบแล้วสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงานนั้น มีการจ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ นายจ้างจึงมีสิทธิขอลดส่วนอัตราเงินสมทบสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตายได้ในอัตราร้อยละ 0.06
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จัดสวัสดิการในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงานให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ. 2533 ใช้บังคับ ที่มีการจ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีการตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ โจทก์จึงมีสิทธิขอลดส่วนอัตราเงินสมทบในกรณีตายในอัตราร้อยละ 0.06 จากอัตราเงินสมทบร้อยละ 1.5 ที่จะต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และประกาศคณะกรรมการประกันสังคม ฉบับลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2534เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการลดส่วนอัตราเงินสมทบเกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนกรณีตาย แต่จำเลยไม่ยอมลดส่วนอัตราเงินสมทบเกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนกรณีตายให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยลดส่วนอัตราเงินสมทบในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานอัตราร้อยละ 0.06 ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จเงินทำขวัญและเงินช่วยเหลือในการทำศพเจ้าหน้าที่คุรุสภาพ.ศ. 2503 หมวด 3 ข้อ 11 มีลักษณะไม่แน่นอน บางกรณีลูกจ้างได้รับผลประโยชน์สูงกว่า บางกรณีได้รับผลประโยชน์ต่ำกว่าประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายไม่เป็นมาตราฐานแน่นอน จึงเป็นสวัสดิการที่มีการจ่ายในอัตราไม่สูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 55 คำสั่งของจำเลยที่ไม่ลดส่วนอัตราเงินสมทบชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า สวัสดิการที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างในกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานมีการจ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533มาตรา 55 โจทก์จึงมีสิทธิขอลดส่วนอัตราเงินสมทบสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย พิพากษาให้จำเลยมีคำสั่งลดส่วนอัตราเงินสมทบในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานอัตราร้อยละ 0.06 ของอัตราค่าจ้างของผู้ประกันตนให้โจทก์และลูกจ้างของโจทก์ โดยให้มีผลบังคับนับแต่วันที่จำเลยมีคำสั่งลดอัตราเงินสมทบในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานเป็นต้นไป จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังยุติว่า ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอลดส่วนอัตราเงินสมทบในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 นั้น โจทก์มีลูกจ้างทั้งหมดประมาณ 2,200 คน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดของลูกจ้างของโจทก์เดือนละ 2,800 บาท โจทก์มีลูกจ้างที่ได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ 2,800 บาท ประมาณ 10 คน และอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานวันละ 90 บาท คงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์จัดสวัสดิการในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงานให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ มีการจ่ายในอัตราที่สูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533มาตรา 55 หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว กรณีการตายอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงานตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 73 นั้น กำหนดให้จ่ายหนึ่งร้อยเท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเท่ากับ 9,000 บาท (90 x 100)ส่วนโจทก์มีระเบียบสวัสดิการเกี่ยวกับเรื่องการตายของลูกจ้างคือ ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จ เงินทำขวัญและเงินช่วยเหลือในการทำศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. 2503 ตามเอกสารหมาย จ.7 หมวด 3 ข้อ 11 กำหนดว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่คุรุสภาถึงแก่กรรม ให้จ่ายเงินช่วยเหลือในการทำศพตามเกณฑ์ดังนี้(ก) จ่ายค่าจ้างให้ในเดือนที่ถึงแก่กรรมเต็มเดือน (ข) จ่ายเงินช่วยเหลือให้เท่ากับค่าจ้างเต็มเดือน 2 เดือนกับจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพให้อีก รายละ 3,000 บาท ตามมติของการประชุมกรรมการสวัสดิการเจ้าหน้าที่องค์การค้าของคุรุสภาครั้งที่ 8/2526-2527 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2526 ตามเอกสารหมาย จ.8 ซึ่งออกตามระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการต่าง ๆ ขององค์การค้าของคุรุสภา ว่าด้วยการจ่ายเงินสวัสดิการเจ้าหน้าที่องค์การค้าของคุรุสภาช่วยเหลือในการจัดการศพ พ.ศ. 2518เอกสารหมาย จ.9 ซึ่งตามระเบียบและมติของการประชุมกรรมการสวัสดิการดังกล่าว ในกรณีลูกจ้างที่ได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ 2,800 บาท ถึงแก่ความตายโจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับดังนี้ (1) จ่ายค่าจ้างในเดือนที่ถึงแก่ความตายเต็มเดือนตามหมวด 3 ข้อ 11(ก) 2,800 บาท (2) จ่ายเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้าง 2 เดือนตามหมวด 3 ข้อ 11 (ข) 5,600 บาทและ (3) จ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพอีก 3,000 บาท รวมเงินที่โจทก์จะต้องจ่ายทั้งสิ้น 11,400 บาท ซึ่งมีอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ สำหรับการจ่ายเงินตามหมวด 3 ข้อ 11 (ข) และจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพ รวมเป็นเงิน8,600 บาทนั้น ถือได้ว่าเป็นสวัสดิการที่โจทก์จัดให้แก่ลูกจ้างแต่การจ่ายเงินตามหมวด 3 ข้อ 11 (ก) นั้นเป็นทั้งค่าจ้างและสวัสดิการรวมกันอยู่กล่าวคือ ในเดือนที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายนั้นเงินที่โจทก์จ่ายให้ตั้งแต่ต้นเดือนถึงวันที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายถือได้ว่าเป็นค่าจ้าง ส่วนเงินที่โจทก์จ่ายให้ตั้งแต่วันที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายถึงวันสิ้นเดือนถือได้ว่าเป็นเงินสวัสดิการ ดังนั้นหากลูกจ้างของโจทก์ซึ่งได้รับเงินเดือนขั้นต่ำสุด 2,800 บาท (เท่ากับวันละ 93.33 บาท) ถึงแก่ความตายในช่วงระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 25 ของเดือน ลูกจ้างก็จะได้รับเงินสวัสดิการตั้งแต่วันถึงแก่ความตายจนถึงสิ้นเดือน เป็นเงินเกินกว่า 400 บาท เมื่อนำไปรวมกับเงินสวัสดิการที่ได้รับอยู่แล้ว8,600 บาท ก็จะเป็นเงินเกินกว่า 9,000 บาท ซึ่งมีอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ แต่หากลูกจ้างถึงแก่ความตายในช่วงตั้งแต่วันที่ 26 จนถึงสิ้นเดือนลูกจ้างก็จะได้รับเงินสวัสดิการเป็นเงินต่ำกว่า 400 บาท เมื่อนำไปรวมกับเงินสวัสดิการที่ได้รับอยู่แล้ว 8,600 บาท ก็จะเป็นเงินต่ำกว่า 9,000 บาท ซึ่งมีอัตราต่ำกว่าประโยชน์ทดแทนกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ดังนั้นสวัสดิการที่โจทก์จัดให้แก่ลูกจ้างในกรณีตายนั้น บางกรณีลูกจ้างได้รับประโยชน์สูงกว่าบางกรณีได้รับประโยชน์ต่ำกว่าประโยชน์ทดแทนกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของลูกจ้างทั้งระบบตามเอกสารหมาย จ.10 แล้ว เห็นได้ว่าลูกจ้างส่วนใหญ่ประมาณ 2,190 คน ได้รับค่าจ้างเกินกว่า 2,800 บาทซึ่งจะได้รับสวัสดิการรวมแล้วสูงกว่าประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ คงมีลูกจ้างส่วนน้อยประมาณ 10 คนที่ได้รับค่าจ้างอัตราต่ำสุดเดือนละ 2,800 บาท บางกรณีเท่านั้นที่ได้รับสวัสดิการต่ำกว่าประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ศาลฎีกาเห็นว่า การพิจารณาการจัดสวัสดิการของโจทก์ให้แก่ลูกจ้างในกรณีตายนั้น จะต้องพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของลูกจ้างทั้งระบบ มิใช่พิจารณาแต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งกรณีนี้เมื่อพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของลูกจ้างทั้งระบบแล้วสวัสดิการของโจทก์ที่จัดให้แก่ลูกจ้างในกรณีการตายอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงานนั้น มีการจ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ โจทก์จึงมีสิทธิขอลดส่วนอัตราเงินสมทบสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตายได้ในอัตราร้อยละ0.06 ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน