แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ศาลอุทธรณ์ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ผู้ใดร่วมกับผู้อื่นเอาเอกสาร (เช็ค) ของผู้อื่นไปโดยทุจริตย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188และเป็นความผิดตามมาตรา 335 อีกบทหนึ่งด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 352
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 352 ให้ลงโทษตามมาตรา 188 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188, 335 ให้ลงโทษตามมาตรา 335 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90กำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามฎีกาข้อแรกของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์จะอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 มาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 มิได้เพราะโทษตามมาตรา 335 สูงกว่ามาตรา 352 นั้นเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
จำเลยฎีกาต่อไปว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 เป็นบทเฉพาะจะลงโทษจำเลยตามมาตรา 335 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกไม่ได้ เห็นว่ามาตรา 188 บัญญัติว่า”ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรม หรือเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ฯลฯ” มาตรา 334 บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ฯลฯ” ซึ่งหากร่วมกระทำด้วยตั้งแต่สองคนขึ้นไปก็ผิดตามมาตรา 335(7) ดังนั้น หากผู้ใดร่วมกับผู้อื่นเอาเอกสาร (เช็ค) ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ก็ย่อมมีความผิดตามมาตรา 335 ด้วยอีกบทหนึ่ง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เห็นว่าจำเลยได้บรรเทาความเสียหายแก่โจทก์แล้ว ประกอบกับจำเลยเป็นผู้หญิง และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดอาญามาก่อนจึงมีเหตุปราณีแก่จำเลย สมควรรอการลงโทษจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า อาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้รอการลงโทษจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์