แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สภาพของเรือของกลางจะมีส่วนไม่เรียบร้อยอยู่หลายอย่างเมื่อปรากฏว่าเรือของกลางมีเครื่องยนต์ติดตั้งและใช้แล่นขนส่งสินค้าตามลำน้ำมาก่อนแล้วหลายครั้ง ขณะถูกจับก็ใช้แล่นอยู่ทั้งกรมเจ้าท่าได้รับจดทะเบียนเป็นเรือประเภทขนส่งของส่วนบุคคลไว้แล้ว ดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าเรือของกลางมีสภาพเป็นเรือใช้ประโยชน์ได้สมบูรณ์แล้ว จึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ไม่ใช่ไม้แปรรูป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๐ เวลากลางวัน จำเลยมีไม้สัก ๖๗ แผ่น ไม้ยาง ๑๕ แผ่น ปริมาตรเนื้อไม้ ๒.๓๒ ลูกบาศก์เมตรแปรรูปเป็นเรือโป๊ะโกลน ๑ ลำ ยังไม่สำเร็จรูป และมีไม้สักแปรรูปเป็นไม้กระดาน ๗ แผ่น ปริมาตร ๐.๓๒ ลูกบาศก์เมตร รวมไม้แปรรูปทั้งหมด ๘๙ แผ่น ปริมาตร ๒.๖๔ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่ใช่ไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรืออยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้และไม่เคยอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือเครื่องใช้มาแล้วแต่ประการใด ๆ ไว้ในครอบครอง ทั้งไม่ใช่ไม้แปรรูปที่ไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ทั้งนี้ โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลวังยาง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘, ๗๓, ๗๔; (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘, ๗๓, ๗๔; (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๓,๐๐๐ บาท รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปีของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า เรือโป๊ะของกลางเป็นเครื่องใช้ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔(๔) หาใช่ไม้แปรรูปตามฟ้องโจทก์ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า วันเกิดเหตุ จำเลยมีเรือของกลางไว้ในครอบครองจำเลยนำเรือดังกล่าวโดยเอาเครื่องยนต์ยี่ห้อเจโลติดท้ายเรือแล่นไปตามลำน้ำปิง แล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ
เรือของกลางใช้ไม้สักหนา ๓ เซนติเมตร ประกอบเป็นลำเรือกระดานทุกแผ่นต่อไว้เฉย ๆ โดยใช้ตะปูยึดไม้ ไม่ใช้ไม้ลูกกระสักไม่มีการเข้าลิ้น ยาขันตรงรอยต่อไว้เพียงเล็กน้อย ไม้กราบเรือ พื้นเรือและหัวเรือ ใช้ไม้หนาและหน้ากลาง ๆ ทำให้มีน้ำหนักมาก กราบเรือทำเป็น ๒ ชั้น โยงไว้ด้วยน็อต การใส่น็อตไม่ได้เจาะกระดานแต่ใส่ไว้ตรงรอยต่อของไม้ กงเรือใช้ไม้ยางทำ ซึ่งปกติจะต้องใช้ไม้ที่ไม่ผุง่ายหลังคาเรือเป็นกระดานไม้สัก เสาเล็ก ๆ ทำชั่วคราว ไม่ลบเหลี่ยมมีไม้สักปูท้องเรือไว้เฉย ๆ ดังนี้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้สภาพของเรือของกลางจะมีส่วนไม่เรียบร้อยอยู่หลายอย่าง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะฝีมือต่อเรือของช่างตามชนบทไม่ดีพอ ขาดความเรียบร้อย แต่เมื่อปรากฏว่าเรือของกลางมีเครื่องยนต์ติดตั้งและใช้แล่นขนส่งสินค้าตามลำน้ำปิงมาก่อนแล้วรวม ๔ ครั้ง ขณะถูกจับจำเลยก็ใช้เรือของกลางแล่นอยู่ตามลำน้ำปิงทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่ากรมเจ้าท่าได้รับจดทะเบียนไว้เป็นเรือประเภทใช้ขนส่งของส่วนบุคคล ตามใบอนุญาตใช้เรือของกรมเจ้าท่าเลขที่ ๑๐๙๗๔๒ ดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าเรือของกลางมีสภาพเป็นเรือใช้ประโยชน์ได้สมบูรณ์แล้ว จึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔ เทียบตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๓๗/๒๕๑๑ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์ นายล้ายต้า แซ่ลิ้ม จำเลย แม้เรือของกลางจะมีสภาพดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา ก็เห็นได้ว่าอยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้อันแท้จริง ไม่ใช่ทำขึ้นเพียงชั่วคราวเพื่อลวงหรือพรางโดยเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมาย จึงไม่ใช่ไม้แปรรูป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ ของกลางคืนจำเลยไป