แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ใช้และเก็บรักษาปืนคาร์บิน แมกกาซีน และกระสุนปืน ซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการตำรวจเพื่อใช้ในการตรวจตรา ปราบปรามโจรผู้ร้าย จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ใช้และรักษาปืนคาร์บินกระสุนปืน และแมกกาซีน ที่จำเลยได้รับมอบหมาย จำเลยเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้รับมอบหมายให้ใช้และเก็บรักษาปืนคาร์บิน ๑ กระบอก กระสุน ๖๐ นัด และแมกกาซิน ๔ อันซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการตำรวจ แล้วจำเลยเบียดบังทรัพย์ดังกล่าวแล้วนำไปมอบให้แก่คนร้ายโดยทุจริต ส่วนสำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่าได้มีคนร้ายลักเอาปืนดังกล่าวพร้อมด้วยกระสุน ๓๐ นัดและแมกกาซินที่จำเลยครอบครองนั้นไป ๒ อัน อันเป็นความเท็จเพราะความจริงไม่มีความผิดเกิดขึ้นเลย จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๓๗, ๑๗๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด จำคุก ๘ ปี
จำเลยอุทธรณ์ทั้ง ๒ สำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่ปรับข้อกฎหมายเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๘ กระทงหนึ่งและมาตรา ๑๓๗ และ ๑๗๓ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด จำคุก ๔ ปี
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยฎีกาว่าเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดตามมาตรา ๑๔๗ แล้วก็ต้องยกฟ้อง จะลงโทษตามมาตรา ๑๕๘ ไม่ได้
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ปัญหาในชั้นฎีกามีเฉพาะว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา ๑๔๗ หรือมาตรา ๑๕๘ และจะลงโทษจำเลยได้เพียงใดส่วนข้อหาแจ้งความเท็จนั้นจำเลยมิได้ฎีกา จึงเป็นอันยุติ สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยจะผิดตามมาตรา ๑๔๗ หรือ ๑๕๘ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ใช้และเก็บรักษาปืนคาร์บิน แมกกาซิน และกระสุนปืน ซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการตำรวจเพื่อใช้ในการตรวจตราปราบปรามโจรผู้ร้าย จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ใช้และรักษาปืนคาร์บินแมกกาซิน และกระสุนปืน ที่จำเลยได้รับมอบหมายไปนั้นจำเลยไปแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักปืนคาร์บิน แมกกาซินและกระสุนปืนดังกล่าวไป อันเป็นความเท็จ เพราะความจริงคนร้ายหาได้ลักไปไม่พฤติการณ์ทั้งนี้ย่อมชี้ให้เห็นเจตนาทุจริตของจำเลยอยู่ในตัว จำเลยจะขายปืนคาร์บิน แมกกาซิน และกระสุนปืนดังกล่าวให้แก่นายมะแกแรคนร้ายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ไม่สำคัญ เมื่อปืนคาร์บิน แมกกาซิน และกระสุนปืนดังกล่าวไปอยู่ในความครอบครองของนายมะแกแร จึงต้องนับว่าจำเลยเบียดบังปืนคาร์บิน แมกกาซิน และกระสุนปืนนั้นเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๘ ปีนอกจากที่แก้นี้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์