คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 นั้น หากน้องกระทำต่อพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก็เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อพี่ถอนคำร้องทุกข์ คดีก็ย่อมระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนางอุดม อั้นวงษ์ ผู้เสียหายเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๐๔ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยและลักเอาวิทยุทรานซิสเตอร์ราคา ๑,๐๐๐ บาทของนางอุดมไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕
จำเลยรับสารภาพ
นางอุดมผู้เสียหายยื่นคำร้องว่า เป็นพี่สาวจำเลยร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่ประสงค์ดำเนินคดีเอาโทษแก่จำเลย ขอถอนคำร้องทุกข์ในคดีนี้เสีย เพราะได้ทรัพย์คืนและจำเลยสำนึกผิดแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ จำคุก ๘ เดือน ลดกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ว่า ความผิดตามมาตรา ๓๓๕ นั้น พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกระทำต่อกันเป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา ๗๑ ผู้เสียหายได้ประนีประนอมยอมความไม่เอาโทษจำเลยแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดเรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๑ ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ยอมความไม่ประสงค์ดำเนินคดีเอาโทษแก่จำเลยแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๑ บัญญัติไว้เป็นพิเศษนอกเหนือจากความผิดอันยอมความได้โดยทั่ว ๆ ไป เพราะมิได้บัญญัติไว้ในหมวดความผิดนั้น ๆ หรือมาตรานั้น ๆ โดยเฉพาะ ทั้งยังมีข้อความตอนท้ายของวรรค ๒ ว่า “และนอกจากนั้นศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้” ย่อมประกอบให้เห็นว่า แม้กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ก็ตาม ศาลก็ยังมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ ขอให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยตามความหนักเบาแห่งข้อหา หาใช่ว่าเมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์แล้วคดีระงับไปไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดอันยอมความได้นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ไม่ว่าจะบัญญัติความผิดเช่นไร ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ย่อมเหมือนกันหมด ที่โจทก์ฎีกาว่าความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา ๗๑ แม้ยอมความกันแล้ว ศาลยังคงพิพากษาลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่าถ้าแปลกฎหมายอย่างโจทก์ฎีกาจะขัดกันเองอย่างเห็นได้ชัด เพราะความผิดฐานฉ้อโกง ยักยอก ทำให้เสียทรัพย์ มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นความผิดอันยอมความกันได้ เมื่อถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความกันแล้ว ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ เหตุใดเมื่อเอามาบัญญัติไว้ในมาตรา ๗๑ ด้วย จึงจะกลับพิพากษาลงโทษจำเลยได้อีก ทั้ง ๆ ที่ผู้กระทำผิดมีความสัมพันธ์ในทางครอบครัวสนิทกว่าคนอื่น เหตุที่กฎหมายบัญญัติเพิ่มเติมว่า “และนอกจากนั้ฯศาลจะพิพากษาลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้” หาใช่ทำให้ความผิดอันยอมความกันได้กลายเป็นยอมควมมไม่ได้ดังโจทก์ฎีกาไม่ หมายความว่า เมื่อไม่มีการยอมความกัน
ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดซึ่งมีความสัมพันธ์ทางครอบครัวสนิทกว่าให้น้อยกว่าคนธรรมดาลงไปอีกก็ได้ เพราะนอกจากลักษณะคดีที่เป็นความผิดอันยอมความกันได้เหมือนกันแล้ว ยังมีความสัมพันธ์อันเป็นเหตุส่วนตัวอีกขั้นหนึ่ง ไฉนจึงจะแปลให้เป็นโทษยิ่งขึ้นกว่าคนอื่นกระทำผิด เหตุผลของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share