แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนเป็นคดีที่ ส. เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับขอให้จำเลยคืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้หักไว้ ณ ที่จ่ายเกินตลอดจนขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนให้การต่อสู้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีนี้แม้โจทก์จะนำหนี้ภาษีอากรค้างในคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิด แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่ ส. เป็นหนี้อยู่แก่โจทก์ในคดีก่อนนั้น ส. ยังมิได้ชำระแก่โจทก์โดยครบถ้วน และ ส. ได้ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. มีหน้าที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์โดยจะต้องนำทรัพย์สินกองมรดกของ ส. ที่ตกทอดแก่จำเลยทั้งห้ามาชำระหนี้แก่โจทก์ และมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของ ส. ร่วมกันชำระค่าภาษีอากรที่ ส. ยังมิได้ชำระแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของ ส. มีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับประเด็นในคดีก่อนที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และแม้จำเลยทั้งห้าอยู่ในฐานะเป็นผู้สืบสิทธิของ ส. ผู้ตาย แต่สภาพแห่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ ส. ให้รับผิดในหนี้ที่ ส. มีอยู่แล้วแก่โจทก์ซึ่งเป็นความรับผิดของทายาท โดยเฉพาะต่อกองมรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และมาตรา 1600 จึงมิใช่เรื่องที่คู่ความเดียวกันจะรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 29 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันถึงที่สุดแล้ว และแม้คดีที่ ส. เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง โดยให้งดเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่ ส. โจทก์ในคดีนั้นทั้งหมด อันมีผลให้หนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ภาษีอากรค้างซึ่งอธิบดีโจทก์มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของ ส. ได้เองตาม ป.รัษฎากรฯ มาตรา 12 วรรคสอง โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีโจทก์เป็นพิเศษเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องนำคดีมาสู่ศาล อำนาจของอธิบดีโจทก์แม้จะมีลักษณะเสมือนเป็นสิทธิของเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษา แต่ก็หามีผลทำให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างกลับกลายเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปไม่ ทั้งการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ส. ผู้ตายก็เพื่อให้ความรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรค้างของ ส. ที่จำเลยทั้งห้าต้องรับผิดแก่โจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิดในฐานะทายาทของ ส. เจ้ามรดก และหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้ารับผิดเป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานได้ประเมินให้ ส. ชำระ ส. ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว ส. ก็ได้อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางโดยฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยขอให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดโดยพิพากษาแก้เพียงให้งดเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่ ส. ทั้งหมด หนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวจึงเป็นหนี้ภาษีอากรค้างที่ ส. เป็นผู้มีหน้าที่ต้องรับผิดเสียภาษีอากรดังกล่าวโดยเด็ดขาดแล้วและคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดย่อมมีผลผูกพันโจทก์คดีนี้และ ส. ซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาในคดีนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 29 ส. จึงไม่อาจรื้อฟื้นโต้แย้งต่อโจทก์เกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรอีกได้ และจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของ ส. ซึ่งต้องรับไปซึ่งทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ อันเป็นกองมรดกของผู้ตาย และอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ อันเป็นกองมรดกของผู้ตาย และอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิในกองมรดกของ ส. ก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานของโจทก์ดุจเดียวกัน
เมื่อจำเลยทั้งห้าเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของ ส. ผู้ตายซึ่งต้องรับไปทั้งทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่และความรับผิดของ ส. โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของ ส. ให้รับผิดในหนี้ของ ส. ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ากองมรดกของ ส. จะมีทรัพย์สินหรือไม่ มากน้อยเพียงใดหรือจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทจะได้รับมรดกมาแล้วหรือไม่ และถึงแม้โจทก์ได้ใช้อำนาจสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของ ส. ชำระหนี้ไปบ้างแล้ว และมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ของ ส. หรือไม่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งห้าอาจโต้แย้งได้ในชั้นบังคับคดีต่อไป จำเลยทั้งห้าจึงต้องรับผิดชำระหนี้ของ ส. แก่โจทก์ตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ร่วมกันชำระค่าภาษีอากรจำนวน 15,201,256.51 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมบูรณ์ ชลสิทธิ์ ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนายสมบูรณ์ หนี้ค่าภาษีอากรที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายสมบูรณ์เจ้ามรดกชำระเป็นหนี้ภาษีอากรค้างของนายสมบูรณ์ที่จะต้องชำระแก่โจทก์สำหรับปีภาษี 2530 และ 2531 โดยเจ้าพนักงานของโจทก์ได้ประเมินภาษีแก่นายสมบูรณ์ตามหนังสือแจ้งการประเมินเลขที่ 1047/1/100929 เลขที่ 1047/1/100930 และ 1047/4/103618 เลขที่ 1047/1/100931 เลขที่ 1047/1/100932 และเลขที่ 1047/4/103619 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2537 ทุกฉบับ และนายสมบูรณ์ได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานตามหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายสมบูรณ์โดยให้รับผิดเสียภาษีอากรตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 522 ก-ง/2539 และเลขที่ 523 ก-ข/2539 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ภายหลังเมื่อได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว นายสมบูรณ์ได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลาง โดยขอให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับขอให้คืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้หักไว้ ณ ที่จ่ายเกินตลอดจนขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 โจทก์ได้อายัดเงินฝากในบัญชีเงินฝากของนายสมบูรณ์นำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ภาษีอากรค้างที่นายสมบูรณ์ต้องชำระคงเหลือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างจนถึงวันฟ้องจำนวน 15,201,256.51 บาท เมื่อนายสมบูรณ์ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ให้รับผิดชำระหนี้ดังกล่าวของนายสมบูรณ์แก่โจทก์
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีก่อนอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นคดีที่นายสมบูรณ์เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับขอให้จำเลยคืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้หักไว้ ณ ที่จ่ายเกินตลอดจนขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้องคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นประเด็นที่ศาลในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 ส่วนคดีนี้แม้โจทก์จะนำหนี้ภาษีอากรค้างในคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิด แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่นายสมบูรณ์เป็นหนี้อยู่แก่โจทก์ในคดีดังกล่าวนั้น นายสมบูรณ์ยังมิได้ชำระแก่โจทก์โดยครบถ้วน และนายสมบูรณ์ได้ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมบูรณ์มีหน้าที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวของนายสมบูรณ์แก่โจทก์โดยจะต้องนำทรัพย์สินกองมรดกของนายสมบูรณ์ที่ตกทอดแก่จำเลยทั้งห้ามาชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ได้เตือนให้จำเลยทั้งห้าชำระแล้ว แต่เพิกเฉยและมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ร่วมกันชำระค่าภาษีอากรที่นายสมบูรณ์ยังมิได้ชำระแก่โจทก์ ประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายสมบูรณ์มีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีอากรของนายสมบูรณ์แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับประเด็นในคดีก่อนที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 ดังกล่าว จริงอยู่แม้จำเลยทั้งห้าอยู่ในฐานะเป็นผู้สืบสิทธิของนายสมบูรณ์ผู้ตายดังความเห็นของศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่สภาพแห่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายสมบูรณ์ให้รับผิดในหนี้ที่นายสมบูรณ์มีอยู่แล้วแก่โจทก์ซึ่งเป็นความรับผิดของทายาทโดยเฉพาะต่อกองมรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1599 และมาตรา 1600 กรณีเช่นนี้จึงมิใช่เรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกายังเห็นต่อไปด้วยว่า แม้คดีที่นายสมบูรณ์เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง โดยให้งดเบี้ยปรับ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่นายสมบูรณ์โจทก์ในคดีนั้นทั้งหมด อันมีผลให้หนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ภาษีอากรค้าง ซึ่งอธิบดีโจทก์มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของนายสมบูรณ์ได้เองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสอง โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่งก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายหนึ่งที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีโจทก์ไว้เป็นพิเศษเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องนำคดีมาสู่ศาล อำนาจของอธิบดีโจทก์เช่นว่านี้แม้จะมีลักษณะเสมือนเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่ก็หามีผลทำให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างกลับกลายเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปไม่ ทั้งการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายสมบูรณ์ผู้ตายเช่นนี้ ก็เพื่อให้ความรับผิดในหนี้คำภาษีอากรค้างของนายสมบูรณ์ที่จำเลยทั้งห้าต้องรับผิดแก่โจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 นั้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์มีคำขอบังคับมาในท้ายอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 รับผิดชำระค่าภาษีตามฟ้องให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ในข้อนี้ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การของคู่ความเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมบูรณ์ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายสมบูรณ์ จำเลยทั้งห้าจึงอยู่ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสมบูรณ์ผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 วรรคสองและมาตรา 1629 (1) และอยู่ในลำดับมีสิทธิได้รับมรดกของนายสมบูรณ์ด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 1635 (1) เมื่อกองมรดกของนายสมบูรณ์ตกทอดแก่จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาท และกองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และมาตรา 1600 โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ให้รับผิดชำระหนี้ภาษีอากรค้างของนายสมบูรณ์ที่มีต่อโจทก์ได้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า เงินได้พึงประเมินของนายสมบูรณ์ที่เจ้าพนักงานของโจทก์ประเมินไม่ถูกต้องก็ดี การประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานโจทก์ได้พ้นกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่นายสมบูรณ์ได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้า และนายสมบูรณ์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าเท็จหรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี การประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์จึงขาดอายุความก็ดี และที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้การต่อสู้ว่า จำนวนเงินที่มาของค่าภาษีซึ่งนายสมบูรณ์จะต้องเสียพร้อมเบี้ยปรับตามฟ้องไม่ได้ระบุรายละเอียดของจำนวนเงินที่มาให้ถูกต้องและจำนวนเงินที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงก็ดี เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิดในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์เจ้ามรดก และหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้ารับผิดเป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานได้ประเมินให้นายสมบูรณ์ชำระ นายสมบูรณ์ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว นายสมบูรณ์ก็ได้อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางโดยฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลย ขอให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1967/2541 ซึ่งพิพากษาแก้เพียงให้งดเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่นายสมบูรณ์ทั้งหมด หนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวจึงเป็นหนี้ภาษีอากรค้างที่นายสมบูรณ์เป็นผู้มีหน้าที่ต้องรับผิดเสียภาษีอากรดังกล่าวโดยเด็ดขาดแล้ว และคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดย่อมมีผลผูกพันโจทก์คดีนี้และนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 นายสมบูรณ์จึงไม่อาจรื้อฟื้นโต้แย้งต่อโจทก์เกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรดังกล่าวอีกได้ และในกรณีเช่นนี้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ซึ่งต้องรับไปซึ่งทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ อันเป็นกองมรดกของผู้ตาย และอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิในกองมรดกของนายสมบูรณ์ก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานของโจทก์ดุจเดียวกัน เมื่อคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นข้อต่อสู้เกี่ยวกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินทั้งสิ้น การที่จำเลยทั้งห้าไม่มีสิทธิยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นแห่งคดีที่จำเลยทั้งห้าจะโต้เถียงให้ฟังแปรเปลี่ยนไปเป็นประการอื่นได้ ที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้การต่อสู้ว่า ข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่านายสมบูรณ์มีรายได้จากเงินเดือนและดอกเบี้ยรับจำนองเคลือบคลุม เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างของนายสมบูรณ์ที่มีอยู่แก่โจทก์อันเป็นหนี้เด็ดขาดในฐานะที่จำเลยทั้งห้าเป็นทายาทของนายสมบูรณ์ผู้ตาย ข้ออ้างของโจทก์ที่เกี่ยวกับรายได้จากเงินเดือนและดอกเบี้ยรับจำนองที่บรรยายมาในคำฟ้องจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวกับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาถึงกับจะมีผลทำให้คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไปได้ การที่คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ไม่เป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ได้ยึดและอายัดบัญชีเงินฝากของนายสมบูรณ์ รวมทั้งที่ดินจำนวน 2 แปลง ซึ่งสามารถขายทอดตลาดชำระหนี้ตามฟ้องได้ก็ดี จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นทายาทของนายสมบูรณ์ไม่ได้รับมรดกหรือผลประโยชน์ใด ๆ จากกองมรดกของนายสมบูรณ์ก็ดี ทรัพย์มรดกของนายสมบูรณ์ที่ตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีน้อยกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จะต้องรับผิดก็ดี และที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นบุตรของนายสมบูรณ์ซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกแต่ยังไม่ได้รับมรดกของนายสมบูรณ์แต่อย่างใด และยังไม่ทราบว่าจะได้รับมรดกเท่าไรนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งห้าเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายสมบูรณ์ผู้ตายซึ่งต้องรับไปทั้งทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่และความรับผิดของนายสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ให้รับผิดในหนี้ของนายสมบูรณ์ได้ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่ากองมรดกของนายสมบูรณ์จะมีทรัพย์สินหรือไม่ มากน้อยเพียงใด หรือจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทจะได้รับมรดกมาแล้วหรือไม่ และถึงแม้โจทก์ได้ใช้อำนาจสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของนายสมบูรณ์ชำระหนี้ไปบ้างแล้ว และมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ของนายสมบูรณ์หรือไม่ เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งห้าอาจโต้แย้งได้ในชั้นบังคับคดีต่อไป จำเลยทั้งห้าจึงต้องรับผิดชำระหนี้ของนายสมบูรณ์แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทของสมบูรณ์ร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,201,256.51 บาท แก่โจทก์ ทั้งนี้ความรับผิดของจำเลยทั้งห้าไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601