คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5272/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายจำเลยอุทธรณ์ 2 ประการ คือไม่มีเหตุที่จะถือว่าจำเลยทุจริตดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประการหนึ่ง และคดีมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายเนื่องจากมีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายโดย พ.ร.บ. ล้มละลาย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542 กำหนดจำนวนหนี้ขั้นต่ำที่จะฟ้องคดีล้มละลายไว้ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท และในคดีมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียง 4 ราย ขอให้ศาลอุทธรณ์หยิบยกมาตรา 14 ขึ้นพิจารณาอีกประการหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาที่สองว่าจำเลยจะสามารถขอให้ศาลยกเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มลายตามมาตรา 14 มาพิจารณาในชั้นขอประนอมหนี้ได้หรือไม่ อย่างไร จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243 (1) และมาตรา 247 ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 แต่เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วสมดั่งเจตนารมณ์ของกฎหมายล้มละลาย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวนี้ไปเสียทีเดียว
ในการพิจารณาคดีล้มละลายนั้น กฎหมายได้กำหนดลำดับขั้นตอนไว้อย่างชัดเจนแล้วกล่าวคือ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 14 ลูกหนี้มีสิทธิทำคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 45 เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขอต่อศาลให้สั่งว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาในชั้นนี้ ห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย หากมีข้อเท็จจริงตามมาตรา 53 และมาตรา 54 ในชั้นพิจารณาว่าจะเห็นชอบกับการประนอมหนี้ก่อน ล้มละลายหรือไม่นั้น จึงต้องพิจารณาเพียงแต่ว่ามีเหตุที่ห้ามมิให้ศาลเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้หรือไม่เท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำการทุจริต จำเลยมิได้ฎีกาจึงเป็นอันยุติไป ส่วนที่ว่าจะมีเหตุไม่ควรให้จำเลย ล้มละลายหรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องยกขึ้นว่ากล่าวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด คดีส่วนดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้วจนถึงขั้นพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย จึงเป็นการล่วงเลยขั้นตอนที่จะหยิบยกเหตุดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จำเลยทำคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย และที่ประชุมเจ้าหน้าที่ได้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอรายงานการประนอมหนี้กิจการทรัพย์สินและความประพฤติของจำเลยต่อศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ ศาลชั้นต้น ไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายแล้ว มีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยการประนอมหนี้และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖๑
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ในการยื่นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมา ๒ ประการ กล่าวคือ ไม่มีเหตุที่จะถือว่าจำเลยทุจริตดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประการหนึ่ง และคดีมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายเนื่องจากมีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายโดย พ.ร.บ. ล้มละลาย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดจำนวนหนี้ขั้นต่ำที่จะฟ้องคดีล้มละลายไว้ ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท และในคดีมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียง ๔ ราย ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ หยิบยกมาตรา ๑๔ ขึ้นพิจารณา อีกประการหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ได้วินิจฉัยเฉพาะปัญหาประการแรก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทุจริต ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยประนอมหนี้นั้นชอบแล้ว แต่ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาที่สองว่า จำเลยจะสามารถ ขอให้ศาลยกเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามมาตรา ๑๔ มาพิจารณาในชั้นขอประนอมหนี้ได้หรือไม่ อย่างไร จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา ๒๔๓ (๑) และมาตรา ๒๔๗ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วสมดั่งเจตนารมณ์ของกฎหมายล้มละลาย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวนี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยก่อน
การพิจารณาคดีล้มละลายนั้น กฎหมายได้กำหนดลำดับขั้นตอนไว้อย่างชัดเจนกล่าวคือ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา ๑๔ ลูกหนี้มีสิทธิทำคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ตาม มาตรา ๔๕ เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขอต่อศาลให้สั่งว่าจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาในชั้นนี้ ห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อน ล้มละลาย หากมีข้อเท็จจริงตามมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ ในคดีนี้หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว จำเลยทำคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติพิเศษยอมรับในชั้นพิจารณาว่าจะเห็นชอบ กับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายหรือไม่นั้น จึงต้องพิจารณาเพียงแต่ว่ามีเหตุที่ห้ามมิให้ศาลเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งในปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับจำเลยทุจริตหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาว่า จำเลยกระทำการทุจริต จำเลยมิได้ฎีกา จึงเป็นอันยุติไป ส่วนที่ว่าจะมีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ตามมาตรา ๑๔ นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องยกขึ้นว่ากล่าวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เช่นนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด คดีส่วนดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้วจนถึงขั้นพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย จึงเป็นการล่วงเลย ขั้นตอนที่จะหยิบยกเหตุดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นไม่เห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ แล้วจึงพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖๑ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share