แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์นำหน้าคอยดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งลูกค้า แม้เมทแอมเฟตามีนไม่ได้อยู่กับจำเลยที่ 2 ก็เป็นเรื่องข้อจำกัดทางกายภาพที่ต้องแบ่งหน้าที่กัน เมื่อจำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งแล้วร่วมมือช่วยเหลือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลำเลียงเมทแอมเฟตามีนไปส่งลูกค้าให้สำเร็จและได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 58, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2065/2557 ของศาลชั้นต้น และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 805/2557 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม จำคุกตลอดชีวิต และปรับคนละ 2,000,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 25 ปี และปรับคนละ 1,000,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 805/2557 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 25 ปี 4 เดือน และปรับ 1,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกินคนละ 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2065/2557 ของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 53 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,333,333.33 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 805/2557 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 16 ปี 12 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ตำบลขามป้อม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ความจากทางนำสืบโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 รับจ้างจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 5,000 บาท ขับรถจักรยานยนต์นำหน้าดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถกระบะลำเลียงเมทแอมเฟตามีนของกลางส่งลูกค้า แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมเรียกตรวจที่ด่านสกัดบ้านพนมดี ถนนอรุณประเสริฐ ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ โดยไม่ทันได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ และระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถกระบะนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาที่ด่านดังกล่าวจึงถูกจับกุมได้พร้อมกัน
สำหรับปัญหาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์นำหน้าคอยดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถกระบะนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งลูกค้านั้น แสดงว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับรู้และร่วมวางแผนกำหนดเส้นทางลำเลียงเมทแอมเฟตามีนด้วย แม้เมทแอมเฟตามีนของกลางไม่ได้อยู่กับจำเลยที่ 2 เพราะอยู่ในรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ก็เป็นเรื่องของข้อจำกัดทางกายภาพที่ต้องแบ่งหน้าที่กัน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับเจตนา เมื่อจำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้แก่ลูกค้าแล้วร่วมมือช่วยเหลือด้วยการขับรถจักรยานยนต์นำหน้าดูต้นทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลำเลียงเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 ให้สำเร็จ และจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการช่วยดูต้นทางดังกล่าว ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมมีและลำเลียงเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 2 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์