แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช. ป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังอยู่ในขณะที่ทำคำขอเอาประกันชีวิตแต่ ช. กลับระบุในคำขอดังกล่าวว่าตนสุขภาพสมบูรณ์ดี ในระหว่างสองปีที่แล้วมาไม่เคยเข้าสถานพยาบาลทำการรักษาตัวความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของ ช. ดังกล่าวเป็นข้อสำคัญสำหรับประกอบการวินิจฉัยของจำเลยผู้รับประกันภัยว่าจะรับประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อ ช. ปกปิดข้อความจริงดังกล่าว สัญญาประกันชีวิตช. จึงเป็นโมฆียะ และข้อความจริงดังกล่าวมิใช่เรื่องที่ตัวแทนของจำเลยจะรู้ได้เอง จึงถือไม่ได้ว่าตัวแทนของจำเลยรู้หรือจำเลยควรจะรู้หากใช้ความระมัดระวัง จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 แล้ว สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตของนายไชยวัฒน์ ไข่มุขเลิศฤทธิ์ ซึ่งได้เอาประกันชีวิตไว้กับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่า หากผู้เอาประกันตายเนื่องจากอุบัติเหตุจำเลยจะจ่ายเงินประกัน 12,430 บาท พร้อมด้วยเงินประกันอุบัติเหตุอีก 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ ต่อมานายไชยวัฒน์ ประสบอุบัติเหตุตกกำแพงถึงแก่ความตาย จำเลยจึงต้องจ่ายเงินประกันจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 112,430 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 4 มกราคม 2528จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องชดใช้เงินให้โจทก์ทั้งสองตามสัญญาประกันชีวิต เพราะนายไชยวัฒน์ รู้อยู่แล้วว่าตนป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังมาก่อน แต่ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อจำเลยว่าสุขภาพสมบูรณ์ ต่อมาจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีหนังสือบอกล้างสัญญาไปยังโจทก์ทั้งสอง สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะจำเลยไม่ต้องชำระเงินตามสัญญาดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากนี้นายไชยวัฒน์ ไม่ได้ถึงแก่ความตายโดยอุบัติเหตุ แต่ตายเพราะเจ็บป่วยหากฟังว่าสัญญาประกันชีวิตสมบูรณ์จนถึงวันที่ผู้เอาประกันภัยตาย จำเลยก็ต้องใช้เบี้ยประกันคืนให้โจทก์ทั้งสองเพียง 600 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 600 บาท แก่โจทก์ส่วนคำขออื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายไชยวัฒน์ ป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังอยู่ในขณะที่ทำคำขอเอาประกันชีวิต แต่นายไชยวัฒน์ กลับระบุในคำขอดังกล่าวว่าตนสุขภาพสมบูรณ์ดี ในระหว่างสองปีที่แล้วมาไม่เคยเข้าสถานพยาบาลทำการรักษาตัว ความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของนายไชยวัฒน์ ดังกล่าวนี้เป็นข้อสำคัญสำหรับประกอบการวินิจฉัยของจำเลยว่าจะรับประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อนายไชยวัฒน์ ปกปิดข้อความจริงดังกล่าว สัญญาประกันชีวิตนายไชยวัฒน์ จึงเป็นโมฆียะ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยควรจะรู้ว่านายไชวัฒน์ ป่วย หากได้ใช้ความระมัดระวังดั่งจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนนั้น เห็นว่า คำขอเอาประกันชีวิตเอกสารหมาย ล.3นายไชยวัฒน์ ได้ลงลายมือชื่อไว้ แม้ตัวแทนของจำเลยเป็นผู้กรอกข้อความให้ ก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าตัวแทนของจำเลยกรอกผิดไปจากคำบอกนายไชยวัฒน์ อีกทั้งเรื่องดังกล่าวก็มิใช่เรื่องที่ตัวแทนของจำเลยรู้หรือจำเลยควรจะรู้หากใช้ความระมัดระวัง เมื่อจำเลยได้บอกลาง สัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 แล้ว สัญญาประกันชีวิตก็ตกเป็นโมฆะ
พิพากษายืน.