คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7894/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากรถยนต์เก๋งของโจทก์ร่วมถูกลักไปแล้ว ในระหว่างที่จำเลยรอการตกลงซื้อขายรถของโจทก์ร่วมให้แก่ลูกค้ารายอื่น จำเลยได้เรียกร้องเงินจากโจทก์ร่วมตั้งแต่ครั้งแรกที่โจทก์ร่วมมาติดต่อให้จำเลยสืบหารถที่ถูกลัก โดยจำเลยทราบดีว่าขณะนั้นรถอยู่ที่ใด พฤติการณ์ที่จำเลยเรียกเงินจากโจทก์ร่วมดังกล่าวหาใช่เป็นการเรียกค่าใช้จ่ายที่จำเลยออกทดรองจ่ายในการสืบหารถของโจทก์ร่วมไม่แต่เป็นการเรียกค่าไถ่รถจากโจทก์ร่วมอันเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์โดยจำเลยรู้ดีว่าทรัพย์ดังกล่าวถูกคนร้ายลักมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจรโดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นหรือไม่ เพราะความผิดฐานนี้ต้องการองค์ประกอบความผิดภายในเพียงการกระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83 และให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคารวม 10,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นางวันเพ็ญ แท่นนิล ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 4 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 10,000 บาท แก่โจทก์ร่วมนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยรับทรัพย์ดังกล่าวไว้ จึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง มีคนร้ายลักรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ก – 1921 ชุมพร ของบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด จากความครอบครองของโจทก์ร่วมพร้อมด้วยทรัพย์สินอื่นของโจทก์ร่วม รวม 9 รายการ เป็นราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 568,800 บาท ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดทรัพย์สินหลายรายการคืนจากผู้ที่รับทรัพย์จากคนร้าย และยึดซากรถยนต์เก๋งของโจทก์ร่วมซึ่งคนร้ายขับไปประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเป็นของกลาง ของกลางทั้งหมดคืนให้แก่โจทก์ร่วมแล้วเว้นแต่กล้องถ่ายรูปยี่ห้อนิกกอน ราคา 4,500 บาท และนาฬิกาข้อมือยี่ห้อมิโด ราคา 5,500 บาท ยังไม่ได้คืน

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำการโดยสุจริตในการนำโจทก์ร่วมกับพวกไปติดตามหาตัวนายเสน่ห์หรือเอก วิชัยดิษฐ์ และค้นหาทรัพย์สินของโจทก์ร่วมที่ถูกนายเสน่ห์ลักไป ส่วนเงิน 30,000 บาท ที่จำเลยขอจากโจทก์ร่วมก็มิใช่เงินค่าไถ่รถยนต์เก๋งของโจทก์ร่วม แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเลยทดรองจ่ายในการสืบหารถดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในระหว่างที่จำเลยรอการตกลงซื้อขายรถของโจทก์ร่วมให้แก่ลูกค้า จำเลยได้เรียกร้องเงิน 30,000 บาท จากโจทก์ร่วมตั้งแต่ครั้งแรก ที่โจทก์ร่วมมาติดต่อให้จำเลยสืบหารถที่ถูกลักโดยจำเลยทราบดีว่าขณะนั้นรถอยู่ที่ใด พฤติการณ์ที่จำเลยเรียกเงินจากโจทก์ร่วมดังกล่าวหาใช่เป็นการเรียกค่าใช้จ่ายที่จำเลยออกทดรองจ่ายในการสืบหารถของโจทก์ร่วมไม่ แต่เป็นการเรียกค่าไถ่รถจากโจทก์ร่วมอันเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์โดยจำเลยรู้ดีว่าทรัพย์ดังกล่าวถูกคนร้ายลักมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร โดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นหรือไม่ เพราะความผิดฐานนี้ต้องการองค์ประกอบความผิดภายในเพียงการกระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 เท่านั้น แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษจึงเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share