คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5266/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผู้ร้องจะเป็นภริยาของจำเลยแต่ก็มิได้ถูกฟ้องด้วยจึงเป็นบุคคลภายนอกและชอบที่จะนำคดีตามที่กล่าวอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการจัดการสินสมรสโดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอมด้วยไปฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนเป็นอีกคดีหนึ่งจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความด้วยหาได้ไม่ การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา288ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ดังกล่าวเมื่ออ้างว่าทรัพย์นั้นเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยร่วมกันเท่ากับยอมรับว่าจำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์ด้วยผู้ร้องจึงหามีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ไม่

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของนางเพ็ง สดชั่วมี ในที่ดินโฉนดเลขที่ 992 เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน26 ตารางวา ระหว่างพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมให้เงินแก่โจทก์จำนวน900,000 บาท เป็นค่าที่ดินส่วนที่โจทก์จะได้รับมรดกภายในวันที่30 พฤศจิกายน 2538 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีสำหรับที่ดินส่วนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนั้นโจทก์ขอสละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษา ศาลจึงออกหมายบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 992 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ที่ดินโฉนดเลขที่ 992 เนื้อที่ 33 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวานางเพ็ง สดชั่วมี มารดาจำเลยยกให้จำเลยกึ่งหนึ่งและเป็นมรดกตกทอดได้แก่จำเลย จึงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยโจทก์หมดสิทธิฟ้องเรียกมรดกส่วนของตน และโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกเกินกว่า 1 ปี นับแต่นางเพ็งตายจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากสู้คดีต่อไปจำเลยมีโอกาสชนะคดี แต่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสัญญาจะจ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าที่ดิน ส่วนที่โจทก์จะได้รับซึ่งผู้ร้องไม่ได้ให้ความยินยอมและไม่เห็นชอบด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้จัดการสินสมรสร่วมกัน และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่992 โดยมิชอบ กับประเมินราคาที่ดินสูงเกินกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาทำให้ผู้ร้องและจำเลยได้รับความเสียหายขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและสั่งปล่อยที่ดินโฉนดเลขที่ 992 ที่ยึดไว้ เพราะมูลหนี้เกิดจากสัญญาที่มิชอบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมิใช่คู่ความในคดีนี้จึงไม่อาจขอเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ และผู้ร้องอ้างว่าที่ดินที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยจึงไม่อาจขอให้ปล่อยที่ดินดังกล่าวได้ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้โอนที่ดินส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนางเพ็ง สดชั่วมี ในที่ดินโฉนดเลขที่ 992 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการจัดการสินสมรสโดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอมด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ร้องจะเป็นภริยาของจำเลย แต่ผู้ร้องมิได้ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลภายนอก และแม้กรณีดังกล่าวจะเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องก็ชอบที่จะต้องนำคดีไปฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความมาในคดีนี้ซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่ อุทธรณ์ผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยนั้น เห็นว่าการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนจะได้เอาทรัพย์สินออกขายทอดตลาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคหนึ่งนั้น กรณีจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ดังกล่าว การที่ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยร่วมกัน จึงเป็นการยอมรับว่าจำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ยึดนั้นด้วยดังนั้นผู้ร้องหามีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นไม่ ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share