คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5262/2554

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยคัดลอกอุทธรณ์แบบคำต่อคำ เว้นแต่การแก้ไขชื่อของศาลเพื่อให้ตรงตามความจริง จึงมิใช่เป็นฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่มีเหตุแห่งคำวินิจฉัยแตกต่างจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ควรวินิจฉัยอย่างไรจึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 443 และ 37592 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเดิมที่ดินดังกล่าวถูกเพลิงไหม้ และสำนักผังเมืองกระทรวงมหาดไทยเวนคืนเพื่อก่อสร้างและขยายทางหลวงเทศบาล อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยให้ขนย้ายสิ่งที่รื้อถอนออกไปและทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนขนย้ายออกไปให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิหรืออำนาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ และโจทก์เป็นผู้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ลงบนที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การเวนคืนที่ดินพิพาทไม่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ความประสงค์ของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เจ้าหน้าที่หรือท้องที่ที่จะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ กำหนดระยะเวลาเข้าใช้ที่ดินไว้ให้ชัดแจ้งตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์มาโดยตลอดด้วยความสงบเปิดเผยเป็นเวลา 15 ปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามวัตถุประสงค์ได้ แต่มีหน้าที่ต้องคืนที่ดินที่ได้เวนคืนทั้งหมดให้แก่ผู้เป็นเจ้าของรวมทั้งจำเลยทั้งสองด้วยตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 443, 37592 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ในส่วนที่ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงเทศบาล ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ.2529 และขนย้ายสิ่งที่รื้อถอนออกไป และทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองล้วนคัดลอกอุทธรณ์แบบคำต่อคำเว้นแต่การแก้ไขชื่อของศาลในฎีกาหน้า 5 บรรทัดที่ 7 กับที่ 8 เป็นว่า “ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกา “และในฎีกาหน้าสุดท้ายที่ 10 บรรทัดที่ 1 กับที่ 2 เป็นว่า “ศาลฎีกากับศาลอุทธรณ์ภาค 3″ เพื่อให้ตรงตามความจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่มีเหตุแห่งคำวินิจฉัยแตกต่างจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ควรวินิจฉัยอย่างไรจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share