คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อว่าในกรณีที่เอาทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ขายได้ราคาไม่พอชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงิน จำนวนที่ยังขาดอยู่จนครบนั้นเป็นเพียงวิธีการคำนวณหาจำนวนค่าเสียหาย ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเมื่อมีการผิดสัญญาเช่าซื้อซึ่งมีลักษณะเป็น เบี้ยปรับตามกฎหมาย หาใช่เป็นการเรียกร้องเอาราคาทรัพย์ที่เช่าซื้อ ที่ยังขาดอยู่ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่งวดแรกตลอดมาและไม่ส่งมอบรถคืนโจทก์ ต่อมาโจทก์ติดตามรถคืนมาได้แล้วนำออกขายได้ราคาเพียง 85,000 บาท ยังขาดอยู่อีกจำนวน 86,468บาท และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถคืนโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ จึงขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงินเดือนละ4,000 บาท นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,000บาท รวมเป็นเงิน 106,568 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกัน และโจทก์ได้รับรถคืนแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าราคาที่ขาดได้ หากจะถือเป็นค่าเสียหาย คดีโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 10,000 บาทแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์อีก 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดจากต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้คงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 9 แก่โจทก์อีก 30,000 บาท นั้นชอบหรือไม่ข้อนี้จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9เป็นการเรียกร้องเอาราคารถที่ยังขาดอยู่นั่นเอง เห็นว่า ข้อความในสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามกฎหมายข้อความที่ว่า ให้เอาทรัพย์ที่เช่าซื้อขายได้เงินไม่พอชำระค่าเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินจำนวนที่ยังขาดอยู่จนครบนั้น เป็นเพียงวิธีการคำนวณหาจำนวนเบี้ยปรับเท่านั้น หาใช่เป็นการเรียกร้องเอาราคาทรัพย์ที่เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่ ฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างรูปเรื่องไม่ตรงกับคดีนี้สำหรับจำนวนเบี้ยปรับตามสัญญา ข้อ 9 นั้นเมื่อคำนวณตามวิธีการในข้อตกลงตามสัญญาแล้ว เป็นเงิน 46,468 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดลดลงเหลือ 30,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share