คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลยกฟ้องโจทก์โดยว่า คำพยานโจทก์ขัดกัน เป็นถ้อยคำที่น่าสงสัย ไม่มีน้ำหนัก ดังนี้ เป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักคำพยานว่า พยานฝ่ายใดดีกว่ากันเท่านั้น หากจำเลยในคดีนั้นไม่มีพยานอื่นใดมาสืบแสดงให้ชัดแจ้งว่าพยานโจทก์เบิกความเท็จแล้วก็จะสันนิษฐานว่า พยานโจทก์เบิกความเท็จหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2502 จำเลยทั้งสองเบิกความต่อศาลจังหวัดลพบุรีในคดีแพ่งแดงที่ 211/2502 ซึ่งนางไพดวงมา ฟ้องโจทก์ขอแบ่งมรดกว่า 1 ที่นา เรือน ครัวไฟ ยุ้งข้าว ที่ดินปลูกเรือนเป็นของนายลี่ผู้ตาย และตกเป็นทรัพย์มรดก 2 โจทก์ยินยอมแบ่งมรดกให้นางไพกึ่งหนึ่ง 3 นางไพได้ร่วมทำนาพิพาทกับโจทก์มาทุกปีซึ่งเป็นความเท็จ และเป็นข้อสำคัญในคดี ความจริงทรัพย์ดังกล่าวเป็นของโจทก์ ไม่ใช่มรดกนายลี่ โจทก์ไม่เคยยินยอมแบ่งทรัพย์ให้นางไพ และนางไพไม่ได้ร่วมทำนาพิพาทกับโจทก์ โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

จำเลยทั้งสองปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 2 เดือน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์จำเลยต่างมีพยานนำสืบโต้แย้งกันอยู่จะฟังว่าฝ่ายใดเป็นเท็จไม่ถนัด พิพากษากลับยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว กรณีนี้เดิมนางไพฟ้องขอแบ่งมรดกจากนายไตโจทก์ในคดีนี้ต่อศาลจังหวัดลพบุรีตามคดีหมายเลขแดงที่ 211/2502ในคดีนั้นนางขำจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานนางไพว่า เมื่อนายลี่บิดาตายมีนา 1 แปลง เรือน 1 หลัง ครัว 1 หลัง ยุ้งข้าว 1 หลังกับที่ดินปลูกเรือนเป็นมรดก พี่น้องทุกคนตกลงยกให้นายไตโจทก์ในคดีนี้ และนางไพคนละครึ่ง นายไตและนางไพทำนาร่วมกันมาทุกปี และนางวานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เมื่อนายลี่บิดาตาย มีนา เรือน ครัวไฟและยุ้งข้าวเป็นมรดก บิดาตายได้ 2 วัน ได้ประชุมกันที่บ้านบิดานางวานได้พูดว่าได้แบ่งมรดกให้นายไตและนางไพ ทุกคนยินยอมรวมทั้งนายไตด้วย ต่อมานายไตนางไพทำนาร่วมกัน ข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความดังกล่าวนี้จะเป็นความเท็จหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์ที่นำมาสืบในคดีนี้ว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้นก็เป็นพยานชุดเดียวกับที่เบิกความเป็นพยานให้โจทก์นี้ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 211/2502 ซึ่งโจทก์นี้เป็นจำเลย และนางไพเป็นโจทก์ คดีดังกล่าวอันเป็นเหตุให้เกิดฟ้องร้องคดีนี้ขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ยกฟ้องนางไพ คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไปแล้วมีใจความตอนหนึ่งว่า “การที่โจทก์นำสืบนางขำ นางวาน นางเติมและนายบุญ โดยว่ามีการพูดจาแบ่งทรัพย์พิพาทกันหลังที่นายลี่บิดาตายแล้วขัดกับคำโจทก์เองรับฟังไม่ได้ และอีกตอนหนึ่งว่า “ส่วนนางขำนางวาน พยานโจทก์อีกสองคนนั้นก็เบิกความในข้อที่มีการแบ่งทรัพย์ให้โจทก์จำเลยหลังจากนายลี่ตายแล้ว ทำให้เชื่อไม่ได้มาเสียแล้วการที่พยานทั้งสองมาเบิกความในข้อที่ว่าโจทก์ได้ทำนาร่วมกับจำเลยอยู่ปีหนึ่ง หลังจากนายลี่บิดาตาย ก็ทำให้น่าสงสัยไม่มีน้ำหนักที่จะให้เชื่อถือได้” ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลในคดีแพ่งแดงที่ 211/2502 แล้วจะเห็นได้ว่า ศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักคำพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้นายไตชนะคดี กล่าวคือ ศาลฟังเพียงว่าคำนางขำ นางวาน ขัดกับคำนางไพ และเป็นถ้อยคำที่สงสัยไม่มีน้ำหนักเท่านั้น เป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าพยานฝ่ายใดดีกว่ากันจึงจะฟังว่าคำเบิกความของนางขำและนางวานเป็นความเท็จยังไม่ถนัดทั้งพยานโจทก์ในคดีนี้ คือ นายโอก นายไหว และนายช่วง ก็เป็นพยานในคดีแพ่งดังกล่าวนั้นเอง โจทก์หามีพยานอื่นใดที่จะแสดงให้ชัดแจ้งว่าจำเลยเบิกความเท็จไม่ มิฉะนั้น ในคดีที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งชนะคดีแล้ว ก็ต้องสันนิษฐานว่าพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพยานเท็จทั้งสิ้นดังนี้หาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share