คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246ศาลย่อมไม่รับฟ้องอุทธรณ์ในเรื่องดอกเบี้ย แต่ต้องรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในต้นเงินที่เสียค่าธรรมเนียมถูกต้องแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ 281,786.26 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง 5,283.49 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ เฉพาะทุนทรัพย์ในต้นเงินยังขาดในส่วนของดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในกำหนด แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดี โจทก์ฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า โจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์หรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์นั้นชอบหรือไม่ ปรากฏตามใบแต่งทนายความของโจทก์ว่า นายสุธีภูวพันธุ์ ทนายโจทก์มีสำนักงานอยู่บ้านเลขที่ 541 ถนนสามเสนแขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และตามรายงานการเดินหมายของพนักงานเดินหมาย ปรากฏว่าได้นำหมายนัดของศาลชั้นต้นไปส่งให้ทนายโจทก์ที่สำนักงานดังกล่าวถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2527 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2530ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2531 มีบุคคลที่อยู่ในสำนักงานดังกล่าวซึ่งมีอายุเกิน 20 ปี เต็มใจรับหมายนัดไว้แทนทุกครั้ง เนื่องจากไม่พบทนายโจทก์ ครั้งแรกศาลนัดชี้สองสถานทนายโจทก์ได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องรับทราบคำสั่งศาลในการชี้สองสถานและรับทราบวันนัดพิจารณา ครั้งที่ 2 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลในส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์ยังมิได้ชำระมาชำระให้ครบก่อนอ่านคำพิพากษา ทนายโจทก์และทนายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ ครั้งที่ 3 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทนายโจทก์ได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และรับทราบคำสั่งศาล จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้วจึงฟังได้ว่าในการที่พนักงานเดินหมายไปส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์ในครั้งที่ 2 ทนายโจทก์ยังมีภูมิลำเนาอยู่ตามที่อยู่ในใบแต่งทนายโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่าทนายโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 7 ถนนสุริยราช ตำบลในเมืองอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นสำนักงานที่ได้ย้ายมาพนักงานเดินหมายมิได้ไปส่งหมายนัดครั้งที่ 2 ให้แก่ทนายโจทก์ณ บ้านเลขที่ดังกล่าว แต่นำไปส่งให้ที่สำนักงานเดิมของโจทก์และผู้ที่รับหมายนัดไว้แทนไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในสำนักงานเดิมของทนายโจทก์ และบุคคลนั้นมิได้ส่งหมายนัดต่อให้แก่ทนายโจทก์ หรือแจ้งให้ทนายโจทก์ทราบเรื่องหมายนัด ทำให้ทนายโจทก์ไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำค่าขึ้นศาลในส่วนของดอกเบี้ยก่อนฟ้องไปชำระต่อศาลให้ครบถ้วนก่อนวันอ่านคำพิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเรื่องที่ทนายโจทก์มีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไป จึงต้องถือว่าถิ่นที่อยู่ทุกแห่งของทนายโจทก์เป็นภูมิลำเนาของทนายโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 45 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ได้มีการส่งคำสั่งศาลให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วในการส่งหมายนัดครั้งที่ 2 การที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่ง จึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 แต่อย่างไรก็ตามการที่โจทก์เสียค่าธรรมเนียมมาถูกต้องในทุนทรัพย์ต้นเงินจำนวน281,786.26 บาท ในชั้นอุทธรณ์ แต่มิได้เสียค่าธรรมเนียมในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องภายในเวลาที่ศาลสั่ง ศาลย่อมไม่รับฟ้องอุทธรณ์ในเรื่องดอกเบี้ย แต่ต้องรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในต้นเงินที่เสียค่าธรรมเนียมถูกต้องแล้ว เพราะสามารถแยกออกจากดอกเบี้ยได้ ที่ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งจำหน่ายคดี ให้รับฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะต้นเงิน

Share