คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่โทษจำคุกรอการลงโทษโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวอุทธรณ์ไม่ให้รอการลงโทษ และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันและโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้าน เพิ่งมายกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายลิขิตอภิวัฒนกุล ได้รับอันตรายแก่กาย และจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ทำร้ายนายโกมินทร์ อภิวัฒนกุล แต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 295, 391 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295 ลงโทษจำคุกคนละ 1เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับกักขังแทน ส่วนจำเลยที่ 6 ให้ยกฟ้อง และข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งห้าและไม่ปรับจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้กระทำผิดก็ดี โจทก์ร่วมได้มีส่วนก่อชนวนและทะเลาะวิวาทจึงมิใช่ผู้เสียหายก็ดี และว่าการที่จำเลยที่ 2 ต้องเกิดการชกต่อยกับโจทก์ร่วม เนื่องจากโจทก์ร่วมได้เดินเข้ามาหาจำเลยที่ 2 ชกเพื่อนของจำเลยที่ 2 และจะหันมาชกจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องป้องกันตัวก็ดี ล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยดังกล่าวมิได้อุทธรณ์คัดค้านอย่างใดเพิ่งมายกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้จะได้รับอนุญาตให้ฎีกา ก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีการับวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อเหล่านี้
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาขอให้รอการลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์จำเลย เห็นได้ว่ามูลเหตุของเรื่องเกิดจากการที่ฝ่ายจำเลยทำเสียงอึกทึกเป็นที่เดือดร้อนแก่ฝ่ายโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน เมื่อฝ่ายโจทก์ร่วมห้ามปรามแทนที่จะหาทางแก้ไขกลับหาเหตุทำร้าย มีลักษณะนักเลง นอกจากนี้การทำร้ายยังร่วมกันรุมทำร้ายโจทก์ร่วมคนเดียวทั้งไม่ปรากฏว่ามีการยอมรับผิด หรือบรรเทาความเสียหายอย่างใดศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share