แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เงินทั้งสามฉบับและหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 1 รายการ จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญา จึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ เมื่อข้อตกลงในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ทั้งสามฉบับยอมให้โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาได้ก่อนสัญญาครบกำหนด การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยก่อนสัญญาครบกำหนดจึงหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เพราะหากโจทก์จะปล่อยให้จำเลยกู้เงินต่อไปก็ยิ่งจะเป็นภาระหนักแก่จำเลยที่ไม่อาจชำระหนี้คืนแก่โจทก์ได้แน่นอน และการที่โจทก์ยอมให้บริษัท ร. อันเป็นบริษัทในเครือของจำเลยกู้เงินจากโจทก์ มาชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อลดหนี้ของจำเลย และยอมให้จำเลยกู้เงินจากโจทก์ นำมาลดหนี้ของจำเลย ตามฎีกาของจำเลยก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองทั้งสิ้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเท่านั้น มิได้ชำระทั้งหมดตามจำนวนที่โจทก์ทวงถาม ย่อมไม่ทำให้การทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองสิ้นผลไป เพราะสามารถนำส่วนที่จำเลยชำระนั้นมาหักลดหนี้เดิมได้ แล้วคิดดอกเบี้ยในหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระอยู่ต่อไปจนถึงวันฟ้อง แม้ยอดหนี้ตามคำฟ้องจะมีตัวเลขไม่ตรงตามหนังสือทวงถามก่อนที่จำเลยจะชำระหนี้บางส่วน ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองใหม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
ปรากฏตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันของโจทก์สำนักเพลินจิต ว่า ภายหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด อันเป็นวันครบกำหนดตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้ชำระหนี้ของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินไปจากโจทก์ และจำเลยก็มิได้ชำระหนี้แก่โจทก์ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แสดงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์กับจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะสะพัดกันทางบัญชีต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้ต่อไป คงคิดดอกเบี้ยได้โดยไม่ทบต้นเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 342,806,080.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 14,536,178.52 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 249,122,523.06 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 49,750,098 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมรับผิดจำนวน 271,172,976.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 249,122,523.06 บาท และให้จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดจำนวน 71,633,103.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 14,536,178.52 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 49,750,098 บาท หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองหรือทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งเจ็ดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 70,254,018.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 14,536,178.52 บาท นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2536 เป็นต้นไป และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 49,750,098 บาท นับแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไป ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 133,491,147.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 124,122,523.06 นับแต่วันที่ 9 เมษายน 2536 เป็นต้นไป ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 133,986,952.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 125,000,000 บาท นับแต่วันที่ 9 เมษายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินที่จำเลยจำนองไว้แก่โจทก์ หากบังคับจำนองได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2532 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 134,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 31 มีนาคม 2535 มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปแล้วจำนวน 130,690,000 บาท เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2533 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 125,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 26 มกราคม 2536 มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปจนครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 155,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2536 มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปแล้วจำนวน 70,000,000 บาท และในวันเดียวกับที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ในวงเงินจำนวน 15,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี มีกำหนดระยะเวลา 12 เดือน มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้ทั้งสามฉบับและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินมีโฉนดและที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์พร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 239 แปลง ตำบลแม่เหียะและตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มาทำสัญญาจำนองไว้แก่โจทก์โดยมีข้อตกลงว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยอมชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2535 โจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองทวงถามให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริตหรือไม่ จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้มีสิทธิกู้เงินในวงเงินจำนวน 429,000,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักประกันครบถ้วนตามข้อตกลง แต่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินไม่ครบถ้วนตามวงเงินที่ตกลงกันไว้ ยังขาดอยู่จำนวนประมาณ 88,000,000 บาท ทำให้จำเลยที่ 1 ดำเนินธุรกิจตามโครงการไม่ได้ ต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการไป เนื่องจากขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจที่ดิน และโจทก์ยังให้บริษัทรอยัลฮอทสปริง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 1 นำที่ดินมาจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อให้บริษัทดังกล่าวกู้เงินจากโจทก์จำนวน 40,000,000 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ขึ้นเงินจำนองในหลักทรัพย์เดิมเพื่อให้กู้เงินอีกจำนวน 45,000,000 บาท แล้วนำเงินกู้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้แก่โจทก์ เพื่อลดยอดหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างอยู่ โดยโจทก์สัญญาว่าจะให้จำเลยที่ 1 กู้เงินส่วนที่ยังขาดอยู่จนครบวงเงินจำนวน 429,000,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามที่โจทก์ต้องการแล้ว โจทก์กลับผิดสัญญาไม่ยอมปล่อยสินเชื่อแก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา กลับนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ด จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เห็นว่า จำเลยที่ 1 เริ่มกู้เงินจากโจทก์ตั้งแต่ปี 2532 จนโจทก์ฟ้องคดีเมื่อปี 2536 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เงินทั้งสามฉบับและหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 1 รายการ รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้นถึง 342,806,080 บาท ทั้งได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ขอกู้เงินจากโจทก์โดยจะจำนองที่ดิน 770 ไร่ แต่จำเลยที่ 1 กลับนำที่ดินมาจำนองเพียง 717 ไร่ โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 รับเงินไปไม่ครบตามวงเงินที่อนุมัติ ส่วนเงินเพื่อการพัฒนาที่ดินไม่มีการเบิกเนื่องจากไม่มีการลงทุนพัฒนาที่ดินตามเงื่อนไขข้อตกลงในการขอกู้ โจทก์จึงไม่ให้จำเลยที่ 1 เบิกเงิน ทั้งได้ความจากนางอารีย์พยานโจทก์ว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญา จึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยทั้งเจ็ดก็มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น เมื่อข้อตกลงในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินทั้งสามฉบับยอมให้โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาได้ก่อนสัญญาครบกำหนด การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 ก่อนสัญญาครบกำหนดจึงหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เพราะหากโจทก์จะปล่อยให้จำเลยที่ 1 กู้เงินต่อไปจนครบวงเงินจำนวน 429,000,000 บาท ก็ยิ่งจะเป็นภาระหนักแก่จำเลยที่ 1 ที่ไม่อาจชำระหนี้คืนแก่โจทก์ได้แน่นอน และการที่โจทก์ยอมให้บริษัทรอยัลฮอทสปริง จำกัด อันเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์จำนวน 40,000,000 บาท มาชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อลดยอดหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2534 และยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์จำนวน 45,000,000 บาท นำมาลดยอดหนี้ของจำเลยที่ 1 ในปี 2536 ดังปรากฏตามฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 เองทั้งสิ้น หาใช่การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดประการต่อไปเรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า ในชั้นพิจารณาโจทก์มิได้นำนายถนอมณรงค์ผู้รับมอบอำนาจมาสืบตามหนังสือมอบอำนาจเป็นการไม่ชอบ ในข้อนี้โจทก์มีนางประมวลพรทนายโจทก์ ผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจมาเบิกความยืนยันว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายถนอมฟ้องคดีนี้ โดยจำเลยทั้งเจ็ดมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นการเพียงพอที่จะรับฟังว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายถนอมฟ้องคดีนี้จริง การที่นายถนอมมิได้มาเบิกความในชั้นพิจารณาก็ไม่ทำให้ฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยทั้งเจ็ดแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 45,000,000 บาท ย่อมทำให้หนี้ตามหนังสือทวงถามลดลงและเปลี่ยนแปลงไป หนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองจึงสิ้นสภาพไป โจทก์มาฟ้องคดีหลังจากนั้นเป็นเวลาอีก 1 ปี โดยมิได้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งเจ็ดใหม่ เป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งเจ็ดได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยที่ 1 กลับนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเท่านั้น มิได้ชำระทั้งหมดตามจำนวนที่โจทก์ทวงถาม ย่อมไม่ทำให้การทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองนั้นสิ้นผลไป เพราะสามารถนำส่วนที่จำเลยที่ 1 ชำระนั้นมาหักลดหนี้เดิมได้ แล้วคิดดอกเบี้ยในหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระอยู่ต่อไปจนถึงวันฟ้อง แม้ยอดหนี้ตามคำฟ้องจะมีตัวเลขไม่ตรงตามหนังสือทวงถามก่อนที่จำเลยที่ 1 จะชำระหนี้บางส่วน ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองใหม่ เนื่องจากตัวเลขในหนี้ที่เปลี่ยนแปลงสามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน กรณีจึงไม่จำต้องมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองใหม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ส่วนที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า การบังคับจำนองไม่ชอบเพราะโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายสุรพลโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ปรากฏว่าในข้อนี้จำเลยทั้งเจ็ดไม่ได้ให้การไว้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่าจำเลยทั้งเจ็ดต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดนั้น จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อครบกำหนดตามสัญญาคือวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 นับจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ในข้อนี้ “ปรากฏตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สำนักงานเพลินจิต เลขที่ 001-0-09192-2 ว่า ภายหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 อันเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดจนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2535 อันเป็นวันครบกำหนดเวลา 30 วัน ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้ชำระหนี้ของโจทก์ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นวันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวเลิกกัน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินไปจากโจทก์ และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด แสดงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาที่จะสะพัดกันทางบัญชีต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 หลังจากนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้ต่อไป คงคิดดอกเบี้ยได้โดยไม่ทบต้นเท่านั้น” ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งเจ็ดฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า การที่โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลงเหลืออัตราร้อยละ 13 ต่อปี ย่อมมีผลถึงสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ. 17 ด้วยนั้น เห็นว่า ตามหนังสือแจ้งการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ฉบับสุดท้ายที่โจทก์แจ้งแก่จำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ. 59/27 ระบุไว้ชัดแจ้งเฉพาะสัญญากู้เงินเลขที่ ซี 2532/00039 และ ซี 2533/00019 เพียง 2 ฉบับ เท่านั้น ซึ่งหมายความถึงสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 11 ที่ให้ลดดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 13 ต่อปี การลดดอกเบี้ยตามเอกสารฉบับดังกล่าวย่อมไม่มีผลต่อสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ. 17 ซึ่งเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากกัน ศาลล่างทั้งสองพิพากษาในส่วนนี้ชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 เอกสารหมาย จ. 19 ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 หลังจากนั้นคงให้ดอกเบี้ยได้โดยไม่ทบต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.