คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีวัตถุประสงค์หลายอย่างรวมทั้งรับเหมาประมูลงานก่อสร้างและงานด้านวิศวกรรมโยธาทุกชนิด โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้ประกอบการค้า สิทธิเรียกร้องเอาค่าของที่ได้ส่งมอบหรือค่าการงานที่ได้ทำจึงมีอายุความ 2 ปี และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และมาตรา 602 กำหนดให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำโจทก์ทั้งสองจึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างได้นับแต่วันที่ได้ทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างและได้ส่งมอบงานแล้ว ถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ มิใช่ถือเอาวันที่ผู้ว่าจ้างปฏิเสธไม่อนุมัติการเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2528 จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ว่าจ้างโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีโจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ สร้างถนนน้ำล้นผ่าน อันเป็นโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.)โดยใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการสร้างถนนน้ำล้นผ่าน” หน่วยงานดำเนินการคือ สภาตำบลน้ำเขียว อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ โดยมีคณะกรรมการสภาตำบลน้ำเขียวเป็นตัวแทนเข้าทำสัญญาว่าจ้างเหมาโจทก์ทั้งสองดังนี้คือ จ้างเหมาเครื่องจักรกลสร้างถนนดินและค่าหินลูกรังผิวจราจรเป็นเงิน 35,500 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้มอบเช็คจำนวนเงิน 1,775 บาท ให้คณะกรรมการสภาตำบลน้ำเขียวเป็นหลักประกัน ค่าลงหินลูกรังพร้อมบดอัดเป็นเงิน 3,960 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้มอบเช็คจำนวนเงิน 148 บาท ให้คณะกรรมการสภาตำบลน้ำเขียวเป็นหลักประกันและโจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดหาและเตรียมวัสดุอุปกรณ์เพื่อดำเนินการตามโครงการเป็นเงินทั้งสิ้น 82,000 บาท กำหนดงานแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2528 โจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการสร้างถนนน้ำล้นผ่านดังกล่าวเสร็จสิ้นและส่งมอบงานให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2528 โดยมีนายคำ บุญเปลื้อง ประธานสภาตำบลน้ำเขียวกับกรรมการคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยเป็นผู้ลงชื่อตรวจรับมอบงาน ต่อมาประธานสภาตำบลน้ำเขียวได้เสนอเรื่องเบิกเงินตามโครงการต่อนายอำเภอรัตนบุรีซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการสร้างงานในชนบทระดับอำเภอ (กสอ.) และเป็นตัวแทนของจำเลย แต่นายอำเภอไม่อนุมัติการเบิกจ่ายเงิน โดยอ้างว่าโครงการสร้างถนนน้ำล้นผ่านได้ถูกยกเลิกและได้ส่งเงินคืนจำเลยแล้ว ให้โจทก์ทั้งสองติดต่อกับจำเลยด้วยตนเอง โจทก์ทั้งสองจึงทราบเรื่องโครงการถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2528 ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2528 โจทก์ทั้งสองจึงขอถอนหนังสือเบิกเงินที่ประธานสภาตำบลน้ำเขียวได้เสนอต่อนายอำเภอรัตนบุรีเพื่อจะติดต่อขอเบิกเงินกับจำเลยด้วยตนเอง แต่จำเลยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสอง ได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินค่าจ้างเหมาเป็นเงิน 121,460 บาท และเงินจำนวน1,923 บาท ที่โจทก์ทั้งสองได้วางเป็นประกันไว้ รวมเป็นเงิน 123,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี คิดเป็นดอกเบี้ย 46,268 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 169,651 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 169,651 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 123,383 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ทั้งสองและไม่เคยได้รับหลักประกันใด ๆ จากโจทก์ทั้งสอง จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความแล้ว คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับการดำเนินการตามโครงการที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดหาและเตรียมวัสดุอุปกรณ์เป็นเงิน 82,000 บาท เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม โจทก์ทั้งสองทำงานที่จ้างไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดสัญญา จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา คณะกรรมการสภาตำบลได้บอกยกเลิกสัญญาและส่งเงินคืนคลังจังหวัดซึ่งโจทก์ทั้งสองทราบดีและไม่ติดใจเรียกร้องเงินดังกล่าว โจทก์ทั้งสองได้ทำหนังสือขอถอนเรื่องเบิกเงินแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 169,651 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 123,383 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14กันยายน 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความหรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ว่า จำเลยทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ทั้งสองสร้างถนนน้ำล้นผ่าน โดยทำสัญญาเป็นใบสั่งจ้างค่าหินลูกรังพร้อมบดอัดจำนวน 33 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 3,960 บาท ตามเอกสารหมาย จ.3 ใบสั่งจ้าง ค่าจ้างเครื่องจักรกลสร้างถนนดินและค่าหินลูกรังผิวจราจร 4 x 500 x 0.10 ปริมาตรดิน 200 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 35,500 บาทตามเอกสารหมาย จ.4 และใบสั่งซื้อค่าวัสดุอุปกรณ์ เพื่อดำเนินการตามโครงการเป็นเงิน 82,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 และจ.4 ระบุว่าเงินค่าจ้างจะจ่ายให้เมื่องานแล้วเสร็จ ส่วนใบสั่งซื้อเอกสารหมาย จ.5 ระบุว่าจะจ่ายเงินค่าสิ่งของให้ภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้ตรวจรับมอบสิ่งของครบถ้วนแล้ว ซึ่งสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 ตามใบตรวจรับพัสดุเอกสารหมายจ.15 ว่า จำเลยได้รับสิ่งของครบถ้วนทุกประการเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2528 สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ตามใบตรวจรับงานจ้างเอกสารหมาย จ.8 และจ.9 ระบุว่า โจทก์ได้ทำเสร็จเรียบร้อยทุกประการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2528 และสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.5 ตามใบตรวจรับพัสดุเอกสารหมาย จ.14 ระบุว่า จำเลยได้รับสิ่งของทั้งหมดครบถ้วนทุกประการเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2528 เห็นว่า สัญญาทั้ง 3 ฉบับ ดังกล่าวข้างต้นเป็นสัญญาซึ่งโจทก์ทั้งสองตกลงรับทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่จำเลย และจำเลยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานที่ทำนั้น โดยโจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดหาสัมภาระและเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับใช้ทำการงานให้สำเร็จนั้นจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) กำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องค่าจ้างทำของไว้มีกำหนด 2 ปี ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองมิใช่ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้ประกอบศิลปอุตสาหกรรมหรือช่างฝีมือแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองได้รับจ้างจำเลยในฐานะผู้รับเหมาและรับจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยชำระค่าสินจ้างซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีวัตถุประสงค์หลายอย่างรวมทั้งรับเหมาประมูลงานก่อสร้างและงานด้านวิศวกรรมโยธาทุกชนิดตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) สิทธิเรียกร้องเอาค่าของที่ได้ส่งมอบหรือค่าการงานที่ได้ทำจึงมีอายุความ 2 ปี มิใช่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดไม่ ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า เมื่อโจทก์ทั้งสองได้ทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างและได้ส่งมอบงานแล้ว นายอำเภอรัตนบุรีได้ปฏิเสธไม่อนุมัติการเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2528 โดยอ้างว่าโครงการถูกยกเลิกแล้ว ได้ส่งเงินกลับคืนให้จำเลยไปแล้ว จึงถือว่าโจทก์ทั้งสองถูกโต้แย้งสิทธิในวันที่ 18 กันยายน 2528 อายุความจึงเริ่มนับแต่วันนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และตามมาตรา 602 กำหนดให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ โจทก์ทั้งสองจึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างได้นับแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2528 วันที่ 15 พฤษภาคม 2528 และวันที่ 10 พฤษภาคม 2528 ตามลำดับ จึงถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความมิใช่ถือเอาวันที่นายอำเภอรัตนบุรีปฏิเสธไม่อนุมัติการเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2538 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันรับมอบการงานที่ทำ คดีโจทก์ทั้งสองจึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share