แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลมีอำนาจเรียกสำนวนการสอบสวนจากพนักงานอัยการมาเพื่อประกอบคำวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 175 การดำเนินการของศาลดังกล่าวมิใช่การพิจารณาและสืบพยานในศาล จึงไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และเมื่อมิใช่การสืบพยาน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจถามค้านพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 117 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้วัตถุมีคมแทงนายสมโภชน์ ศรีดี ผู้ตายที่บริเวณลำคอด้านหน้า เป็นเหตุให้เส้นเลือดและหลอดลมขาดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ได้หลังเกิดเหตุ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คู่ความไม่ฎีกา จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีนายลำจวน เสนียราช นายสุเทพ โพธิ์ทอง และนางพวงเพ็ญ กลิ่นมะลิ เป็นพยานเบิกความสรุปความว่าในคืนเกิดเหตุมีการจัดงานสมรสที่บ้านนางสำเภา กลิ่นมะลิ นอกจากเลี้ยงอาหารและสุราแล้วยังมีการแสดงดนตรีด้วย จำเลยที่ 1 กับพวกนั่งที่โต๊ะด้านซ้ายของเวที นายลำจวนนั่งที่โต๊ะข้างๆ ห่างประมาณ 2 เมตร พวกจำเลยที่ 1 ลุกมาขอสุราที่โต๊ะนายลำจวนไปดื่มรวม 3 ครั้ง ซึ่งนายลำจวนให้ไปทุกครั้งต่อมาขณะที่นายลำจวนลุกไปหน้าเวที พวกจำเลยที่ 1 ได้ลุกมาหยิบเอาขวดสุราบนโต๊ะของนายลำจวนไป นายลำจวนจึงเข้าไปบอกพวกจำเลยที่ 1 ว่าสุรายังมีคนดื่มและพูดกับจำเลยที่ 1 ว่าสุราเอามาได้อย่างไร มีคนดื่มอยู่ จำเลยที่ 1 ผลักอกนายลำจวนจนเซถลาไป จากนั้นจำเลยที่ 1 กับพวกกรูกันเข้ามาจะทำร้ายนายลำจวน แต่มีคนเข้าห้ามรวมทั้งผู้ตาย จำเลยที่ 1 คว้าขวดที่อยู่บนโต๊ะฟาดกับต้นมะม่วงที่อยู่ใกล้โต๊ะจนแตกแล้วแทงไปที่บริเวณลำคอของผู้ตาย ผู้ตายล้มลง ส่วนจำเลยที่ 1 กับพวกวิ่งแยกย้ายกันหลบหนี แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ในคืนเกิดเหตุ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุมีการประดับไฟสว่าง นายลำจวนนั่งโต๊ะห่างจากโต๊ะจำเลยที่ 1 กับพวก ประมาณ 2 เมตร ส่วนนายสุเทพและนางพวงเพ็ญช่วยยกอาหารและเครื่องดื่มบริการแขกภายในงาน พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความได้สอดคล้องกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักให้รับฟังการที่จำเลยที่ 1 ใช้ขวดที่แตกเป็นคมแทงไปที่คอของผู้ตายซึ่งเป็นบริเวณอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้หลอดลมถูกตัดบางส่วนและเส้นเลือดบริเวณลำคอถูกตัดขาดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย การแทงของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแทงโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 1 นำสืบว่า เมื่อใกล้จะเลิกงานนายลำจวนเข้ามาต่อว่าจำเลยที่ 1 ว่าเอาสุรามาดื่มจำเลยที่ 1 ปฏิเสธแต่ได้ขอโทษ นายลำจวนไม่ยอมลดละได้ชักอาวุธปืนออกมาจ่อจำเลยที่ 1 และส่งสัญญาณให้ลูกน้องเข้ามาหาจำเลยที่ 1 จากนั้นลูกน้องนายลำจวนเข้ามาประมาณ 10 คน และตีทำร้ายพนักงานของบริษัททุกคนที่สวมเครื่องแบบเหมือนกันเกิดชุลมุนกัน พวกจำเลยที่ 1 ต่างหลบหนี ส่วนจำเลยที่ 1 ตกไปในร่องสวนด้านหลังเวที หลังเกิดเหตุมีเจ้าพนักงานตำรวจมา จำเลยที่ 1 จึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ จำเลยที่ 1 ไม่เคยเห็นผู้ตายมาก่อน เห็นว่า นายลำจวนมีปากเสียงกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นแขกของฝ่ายเจ้าบ่าว จึงไม่น่าเชื่อว่านายลำจวนจะให้ลูกน้องตีทำร้ายพนักงานบริษัททุกคน ทั้งจำเลยที่ 1 เบิกความว่าพวกจำเลยที่ 1 ต่างพากันหลบหนี จึงไม่น่าจะเกิดชุลมุนกัน พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักน้อยไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้า ไม่ได้ใส่ชุดพนักงานตามที่พยานโจทก์ยืนยันว่าเป็นผู้ที่แทงผู้ตายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ถามค้านนายลำจวน นายสุเทพและนางพวงเพ็ญพยานโจทก์ในเวลาที่พยานดังกล่าวเบิกความ ตามที่จำเลยอุทธรณ์และฎีกาต่อมาจึงมีน้ำหนักน้อย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นเรียกคำให้การชั้นสอบสวนเพื่อประกอบคำให้การพยานโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะการดำเนินคดีอาญาต้องทำต่อหน้าจำเลยและเอกสารดังกล่าวจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านนั้น เห็นว่า ศาลมีอำนาจเรียกสำนวนการสอบสวนจากพนักงานอัยการมาเพื่อประกอบคำวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 175 การดำเนินการของศาลดังกล่าวมิใช่การพิจารณาและสืบพยานในศาล จึงไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และเมื่อมิใช่การสืบพยาน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจถามค้านพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้คดีมาโดยตลอด ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยที่ 1 มานั้นจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน