คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ออกบัตร์ให้กรรมกรหยุดงานได้โดยมิได้กล่าวในฟ้องด้วยว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจออกบัตร์นั้นด้วย ดังนี้ศาลก็คงลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กับจำเลยที่ 1 ได้
ฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยรับเงินไว้เป็นสินน้ำใจ ตอนหลังว่าเป็นสินบน ดังนี้ไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อได้ความว่า จำเลยมีอำนาจออกบัตร์ให้กรรมกรหยุดงานเพราะป่วยได้แล้ว แม้ปรากฏว่าจำเลยได้ทำเตรียมบัตร์นั้นไว้ก่อนได้รับมอบตัวกรรมกรก็ตาม จำเลยก็ต้องมีความผิดฐานปลอมหนังสือในตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้ง แต่มิได้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนี้จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้

ย่อยาว

คดีได้ความว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการเป็นปลัดอำเภอประจำตำบลสันป่าตอง นายสมบูรณ์จำเลยที่ ๒ เป็นเสมียนมหาดไทยอำเภอสันป่าตอง ข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าหน่วยกรรมกรไทยตำบลลำเปิง อำเภอแม่แตง รับมอบคนงานที่ถูกเกณฑ์แก่ทหารญี่ปุ่นเอาไปใช้ททำงาน และให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจอนุญาตให้คนงานทำงานที่ป่วยกลับบ้านก่อนกำหนดได้ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้นำคนที่ถูกเกณฑ์ไปมอบให้จำเลยที่ ๑ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานได้บังอาจสมคบกันกระทำผิดกฎหมายโดยสมคบกันเรียกและรับเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรได้มาตามกฎหมายไว้เป็นสินน้ำใจของจำเลยจากนายตั๋น กับพวกเพื่อเป็นเครื่องอุปการะที่จำเลยทำคุณให้บุคคลดังกล่าวนั้นเงินที่จำเลยทั้งสองเรียกและรับจากบุคคลเหล่านี้เป็นสินบนเพื่ออาณาประโยชน์ของจำเลยเอง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๓๗,๑๓๘,๒๓๐ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๓๘ และ ๒๓๐ แต่ให้แก้บทลงโทษส่วนตัวจำเลยที่ ๒ เป็นสมรู้ในการกระทำผิด เพราะได้ความว่าคราวที่เกิดเรื่องนี้ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้คุมกรรมกรที่ถูกเกณฑ์ไปมอบให้จำเลยที่ ๒ เพียงแต่เขียนบัตร์ป่วยให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเท่านั้น แต่มีความเห็นของผู้พิพากษานายหนึ่งเห็นควรยกฟ้อง เพราะฟ้องเคลือบคลุม และข้อเท็จจริงที่ทได้ตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงและบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง
จำเลยฎีกาศาลฎีกาปฤกษาเห็น
๑. ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยที่ ๒ รับราชการเป็นเสมียนอำเภอ มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยมีตำแหน่งหน้าที่ออกบัตร จึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้นั้นปรากฎตามฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ ๒ สมคบกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อรับมอบตัวกรรมกรและออกบัตร์ ฯลฯ ฉะนั้นแม้จะฟังว่า จำเลยมิได้มีตำแหน่งดังจำเลยฎีกา +ก็ย่อมลงโทษจำเลยในฐานเป็นผู้สมรู้ได้
๒. ข้อที่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ๑ ก. ว่าจำเลยสมคบกันเรียกและรับเงินไว้จากนายตั๋น กับพวกไว้เป็นของน้ำใจส่วนตัวเพื่ออุปการะแก่การที่จำเลยให้คุณแก่บุคคลเหล่านั้น และในตอนท้ายกล่าวว่า เงินที่จำเลยเรียกและรับเป็นสินบนเพื่อจำเลยละเว้นไม่กระทำการตาม+ที่นั้น ไม่ทำให้ในฟ้องข้อนี้เป็นต้องเคลือบคลุม เพราะไม่มีข้อความที่จะทำให้ผิดหรือหลงหรือไม่เข้าใจฟ้องนี้ +ทำให้เห็นว่าฟ้องนี้ขัแย้งกันแต่อย่างใดเลย
๓. ข้อที่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ออกบัตร์ให้กรรมกร+ได้รับอนุญาตมอบตัวกรรมกร จึงถือไม่ได้ว่าบัตร์นั้นเป็น+หนังสือทางราชการ ลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น ความข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เขียนบัตร์อนุญาต จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนบัตร แม้บัตร์นั้นจะได้ออกก่อนจำเลยที่ ๑ ได้รับมอบตัวกรรมกร ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นผิดฐานปลอมจดแจ้งข้อความเท็จในหนังสือตำแหน่งหน้าที่ไปได้ และการที่ศาลล่างลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๓๐ ก็ถูกต้องตามฟ้อง +ผิดจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาอย่างใด
คดีปรากฎว่าจำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้แม้จะมีความเห็นแย้ง แต่ไม่มีการอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง คงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share