คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะให้การรับว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องร่วมกับอ. โดยจำเลยเพียงมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยยังมิได้โอนเปลี่ยนชื่อ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ตามที่โจทก์ต้องการจนโจทก์ ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งที่โจทก์จำเป็น ต้องใช้สิทธิทางศาลแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยอ้างว่าให้จำเลยใส่ชื่อในโฉนดที่ดินไว้แทน แต่ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่อง ละเมิดเรียกค่าเสียหายโดยจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์กลั่นแกล้งฟ้องจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีเงื่อนไข เพราะจะรับฟังได้เมื่อคดีฟังได้ว่าฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์แกล้งฟ้องจำเลยก่อน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะสั่ง ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย โจทก์กับอ. จะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องคนละเท่าใดตามที่จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ย่อมเป็นเรื่องที่โจทก์ กับอ. จะไปว่ากล่าวกันเอง ไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง และงดสืบพยานโจทก์จำเลย ในประเด็นนี้ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5255ตามฟ้องโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันนางอรพรรณ มาตังคสมบัติให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปลี่ยนชื่อในโฉนดจากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ไม่ได้บอกขายที่ดินพิพาทให้ผู้อื่น และไม่เคยบอกให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้ผู้อื่นหรือโจทก์เลย หากโจทก์ต้องการโอนที่ดินพิพาทให้ผู้อื่นหรือให้โจทก์ จำเลยก็จะทำตาม โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง นางอรพรรณมีกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 82 ตารางวาเกินกว่ากึ่งหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด เนื่องจากโจทก์ขายที่ดินส่วนของโจทก์ให้นางอรพรรณอีก 1 ไร่ รับชำระราคาแล้วแต่ยังไม่ได้แบ่งกรรมสิทธิ์โจทก์แกล้งฟ้องจำเลยเพื่อให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง และขาดความเชื่อถือจากลูกค้าจำเลยขาดประโยชน์ไปเป็นเงินเดือนและไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่รับ และเห็นว่า จำเลยให้การรับว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ เป็นการรับข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ว ไม่มีประเด็นข้อพิพาทและคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ให้งดสืบพยานคู่ความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำขอของโจทก์ที่ให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกับนางอรพรรณนั้น เมื่อได้ความจากจำเลยว่ามีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกรณีจึงไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งตามที่โจทก์ขอ พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5255จากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาประการแรกว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องร่วมกับนางอรพรรณ โดยจำเลยเพียงมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนแต่จำเลยก็ยังมิได้โอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ตามที่โจทก์ต้องการจนโจทก์ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งที่โจทก์จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลแล้ว
จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นความเสียหายที่เกิดจากคำฟ้องเดิมของโจทก์จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมศาลต้องรับไว้พิจารณาเห็นว่า ฟ้องเดิมเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับที่ดินซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยอ้างว่าให้จำเลยใส่ชื่อในโฉนดที่ดินไว้แทน แต่ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายโดยจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์กลั่นแกล้งฟ้องจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีเงื่อนไข เพราะจะรับฟังได้เมื่อคดีฟังได้ว่าฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์แกล้งฟ้องจำเลยก่อน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า ศาลควรสืบพยานแล้ววินิจฉัยด้วยว่าโจทก์กับนางอรพรรณถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องคนละเท่าใด เรื่องนี้จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่แปลงพิพาทส่วนของโจทก์ให้นางอรพรรณไปอีก 1 ไร่ จึงไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนละครึ่งตามโฉนด เห็นว่าโจทก์กับนางอรพรรณจะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องคนละเท่าใด ย่อมเป็นเรื่องที่โจทก์กับนางอรพรรณจะไปว่ากล่าวกันเองไม่เกี่ยวกับคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง และงดสืบพยานโจทก์จำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share