คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7600/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ในครั้งหลัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงว่า จำเลยที่ 1ทำงานอยู่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขลำนารายณ์ให้ยกคำร้องและให้โจทก์แถลงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวในวันที่โจทก์ยื่นคำร้อง และท้ายคำร้องของโจทก์มีหมายเหตุว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวในวันยื่นคำร้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้โจทก์ทราบอีกโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องแถลงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อโจทก์ไม่แถลงภายในกำหนดเวลา กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉย ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 (2) ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม มาตรา 132 (1) แม้ตามมาตรา 132 (1)นี้ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ แต่คดีนี้ เหตุที่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องเป็นเพราะโจทก์เพิกเฉยไม่แถลงเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1ศาลจึงควรจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลเท่านั้นไม่สมควรจำหน่ายทั้งคดีออกจากสารบบความ ทั้งโจทก์ได้ดำเนินการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว และคดีของจำเลยที่ 1 ได้ยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องอุทธรณ์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 กรณีมีเหตุสมควรไม่จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2โดยให้โจทก์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป และไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share