แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลย ได้มีกำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างเมื่อสิ้นเดือน ต่อมาได้เปลี่ยนเวลาจ่ายค่าจ้างออกเป็น 2 ครั้งคือกลางเดือนครั้งหนึ่งปลายเดือนครั้งหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือโจทก์ได้มีเงินสดซื้อข้าวสารดังนี้ หาทำให้โจทก์เปลี่ยนฐานะจากลูกจ้างรายเดือนไม่ฉะนั้นการที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์ในตอนจ่ายค่าจ้างกลางเดือนจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างแรงงานที่ยังค้างจากจำเลย เป็นเงิน398.10 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลยจริง แต่ได้ออกจากงานไปตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2499 แล้วเมื่อ พ.ศ. 2499 โจทก์จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ 2 ครั้ง คือ กลางเดือนครั้งหนึ่งปลายเดือนครั้งหนึ่ง จนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2499 อันเป็นวันจ่ายค่าจ้างกลางเดือน จำเลยได้ประกาศเลิกจ้างโจทก์และคนงานอื่น ๆ ให้มีผลเลิกจ้างในวันที่ 18 มิถุนายน 2499 เป็นการบอกเลิกจ้าง 1 เดือนเต็ม จำเลยไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันที่ 19-30 มิถุนายน 2499 ตามฟ้อง
คู่ความแถลงรับกันแล้วไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลย ได้มีกำหนดจ่ายค่าจ้างกันเมื่อสิ้นเดือน และเพิ่งมาเปลี่ยนเวลาจ่ายค่าจ้างออกเป็น 2 ครั้ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2499 เพื่อช่วยเหลือโจทก์ได้มีเงินสดไปซื้อข้าวสาร การเปลี่ยนเวลาจ่ายค่าจ้างเช่นนี้ หาทำให้โจทก์เปลี่ยนฐานะจากลูกจ้างรายเดือนไปไม่ ฉะนั้น การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ในตอนจ่ายค่าจ้างกลางเดือน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 โจทก์จึงมีสิทธิได้ค่าจ้างตามฟ้อง
พิพากษายืน